คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1838/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ยิงผู้ตาย การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 78 วรรคสามด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานดังกล่าวจึงไม่ชอบ และความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายความผิดฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวไปฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ถือว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตาม ป.อ. มาตรา 90 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองแยกต่างกรรมกับความผิดฐานอื่นจึงไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 ประกอบมาตรา 225 โดยไม่เพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 และเมื่อโจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดฐานนี้ จึงเป็นเหตุในลักษณะคดีศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2543 เวลากลางวันจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันมีอาวุธปืนเล็กกลขนาด 7.62 มม. เลขหมายประจำปืน 19094619 จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืนขนาดเดียวกัน 28 นัด ซึ่งเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองร่วมกันมีอาวุธปืนลูกซองยาวเดี่ยวขนาด 12 ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ 1 กระบอก กระสุนปืนลูกซองขนาดเดียวกัน 4 นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ และร่วมกันพาอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนทั้งหมดดังกล่าวติดตัวไปตามถนนในหมู่บ้าน หมู่ที่ 7 ซึ่งเป็นหมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร และโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และร่วมกันกับจำเลยที่ 4 กับพวกอีก 1 คน ที่หลบหนีฆ่านายอิ่ม โดยจำเลยที่ 4 กับพวกเป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กระทำความผิดโดยการใช้ จ้างวาน แล้วจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันใช้อาวุธปืนเล็กกลดังกล่าวยิงผู้ตาย 1 นัด โดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่ตำบลท่าอ่าง อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา เจ้าพนักงานยึดปลอกกระสุนปืนขนาด 7.62 มม. 1 ปลอก ได้ในที่เกิดเหตุ รถยนต์หมายเลขทะเบียน 1 ฒ – 0469 กรุงเทพมหานคร ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ใช้เป็นยานพาหนะและอาวุธปืนกับเครื่องกระสุนปืนที่มีไว้และใช้ในการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 371, 83, 84, 91, 32, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 55, 72 ทวิ, 78 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานางสาวสุมามาลย์ บุตรของผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 371, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง, 55, 78 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้ประหารชีวิต ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง จำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่มีเหตุสมควรเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 (ที่ถูก ประกอบมาตรา 52 (1)) ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 8 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง จำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ตลอดชีวิตสถานเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ริบของกลาง สำหรับจำเลยที่ 4 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 ออกจากสารบบความศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีและพาอาวุธปืน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทงละไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง คงมีปัญหาวินิจฉัยเฉพาะความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน… พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ยิงผู้ตาย การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคสามด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานดังกล่าวจึงไม่ชอบ และความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ความผิดฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวไปฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ถือว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองแยกต่างกรรมกับความผิดฐานอื่นจึงไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบมาตรา 225 โดยไม่เพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 และเมื่อโจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดฐานนี้ จึงเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 3 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 78 วรรคสาม อีกกระทงหนึ่ง การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง ฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวในการกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 โทษนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share