แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 98 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษข้อหามีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 98 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 7 ปี ลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี 8 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 25 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวน 70 เม็ด ที่ค้นพบริมรั้วนอกบ้านจำเลยอาจเป็นของบุคคลอื่น ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย คงจำคุกจำเลยข้อหานี้ 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 70 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วย ซึ่งเป็นเพียงรายละเอียดข้อแตกต่างเกี่ยวกับจำนวนเมทแอมเฟตามีนของกลาง จึงเป็นการฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 7 อันเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๑๕, ๒๖, ๖๖, ๖๗, ๗๖, ๑๐๒ ป.อ. มาตรา ๙๑ ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง, ๒๖ วรรคหนึ่ง, ๖๖ วรรคหนึ่ง, ๗๖ วรรคหนึ่ง (ที่ถูกมาตรา ๑๐๒ ด้วย) ป.อ. มาตรา ๘๓ เรียงกระทงลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๙๑ ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก ๗ ปี ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก ๕ ปี ฐานร่วมกันมีกัญชาไว้ในครอบครอง จำคุก ๓ เดือน รวมจำคุก ๑๒ ปี ๓ เดือน ลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุก ๘ ปี ๒ เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก ๕ ปี ให้ยกฟ้องในความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อรวมกับโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว รวมจำคุก ๑๐ ปี ลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุก ๖ ปี ๘ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๗๐ เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๙๘ เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษข้อหามีเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๙๘ เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก ๗ ปี ลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุก ๔ ปี ๘ เดือน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีน จำนวน ๒๕ เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนเมทแอมเฟตามีนอีก ๗๐ เม็ด ที่ค้นพบบริเวณริมรั้วนอกบ้านจำเลยนั้นอาจเป็นของบุคคลอื่นมิใช่ของจำเลยก็ได้ กรณีจึงยังมีความสงสัยตามสมควร ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย คงจำคุกจำเลยในข้อหานี้ ๕ ปี จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๑๘ วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๗๐ เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วย ซึ่งเป็นเพียงรายละเอียดข้อแตกต่างเกี่ยวกับจำนวนเมทแอมเฟตามีนของกลาง จึงเป็นการฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค ๗ อันเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีเพียงว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองกัญชาจำนวน ๑ ห่อ ของกลางซึ่งตรวจค้นพบพร้อมเมทแอมเฟตามี ๗๐ เม็ด หรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุระบุว่าของกลางรายการนี้เจ้าพนักงานตำรวจพบที่บริเวณชายรั้วนอกบริเวณบ้านจำเลย มีพยานโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า จุดที่พบอยู่ห่างจากกระต๊อบที่ตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๒๕ เม็ด ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ประมาณ ๒๐ ถึง ๓๐ เมตร ดังนี้ เห็นว่า เมื่อจำเลยตกลงกระทำผิดต่อกฎหมายโดยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๒๕ เม็ด เก็บไว้ที่กระต๊อบใกล้ตัวจำเลย ซึ่งเป็นการสะดวกแก่การจำหน่ายแล้ว กรณีก็ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะต้องนำกัญชาซึ่งมีจำนวนเล็กน้อยและมีบทลงโทษน้อยกว่ามากไปแยกเก็บไว้นอกรั้วบ้านของตัวเอง อันเป็นการเสี่ยงที่จะถูกผู้อื่นพบเห็นหยิบฉวยไปได้ ที่โจทก์อ้างในฎีกาว่าจำเลยให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนนั้น เห็นว่า ในชั้นพิจารณาจำเลยนำสืบต่อสู้ปฏิเสธอยู่ว่าได้ลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมโดยไม่ทราบข้อความ โดยลำพังคำรับของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนดังกล่าวจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่าไม่มีน้ำหนักแก่การรับฟังได้ว่ากัญชาของกลางรายการดังกล่าวเป็นของจำเลย กรณีมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดในข้อหาดังกล่าวหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๗ วรรคสอง ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.