แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำหนังสือจดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้ ส. โดยมิได้ตั้งใจยกให้โดยเสน่หา แต่กระทำไปเพื่อ ส. จะได้นำไปจำนองไว้กับสหกรณ์ แล้วเอาเงินมาให้จำเลยใช้สอย นิติกรรมดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ เป็นผลให้ที่ดินพิพาทไม่เคยตกทอดเป็นของ ส. แต่ยังคงเป็นของจำเลยตลอดมา ฉะนั้น เมื่อ ส. ตายไปเสียก่อนที่จะนำที่ดินพิพาทไปจำนองสหกรณ์ ที่ดินดังกล่าวจึงไม่ใช่มรดก ส. ทายาท ส. ไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่งได้
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า  นายสีถึงแก่กรรมโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้  มีทรัพย์มรดกอยู่ คือที่นา ๑ แปลง  ที่สวน ๓ แปลง  และยุ้งข้าว ๑ หลัง  นายสีเป็นคนไม่มีบุตรภรรยา  บิดามารดานายสีได้ถึงแก่กรรมไปก่อนแล้ว  โจทก์เป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกับจำเลยที่ ๑  คือเป็นบุตรนางทาซึ่งเป็นพี่สาวนางทุมมามารดานายสี  บิดามารดาของโจทก์และจำเลยที่ ๑  ถึงแก่กรรมไปหมด  จำเลยที่ ๒ ไม่ใช่ทายาท  จำเลยขัดขวางไม่ให้โจทก์ครอบครองทรัพย์มรดก  ขอให้แบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง  ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับส่วนแบ่งที่ตกได้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า   ทรัพย์พิพาททั้งหมดเป็นของนางทา  เมื่อนางทาถึงแก่กรรม  ทรัพย์พิพาทตกแก่จำเลยทั้งหมด  ส่วนโจทก์นั้นได้ทรัพย์อื่นไปแล้ว  ต่อมาจำเลยอยากได้เงิน  จึงจะนำที่นา ๑ แปลงและที่สวน ๓ แปลงไปจำนองสหกรณ์  แต่เนื่องจากจำเลยเป็นหญิง  จึงมอบให้นายสีไปติดต่อขอจำนองสหกรณ์  ด้วยเหตุนี้จำเลยจึงจำต้องจดทะเบียนยกทรัพย์ให้นายสี เพื่อนายสีจะได้ทำการจำนองได้ ซึ่งความจริงแล้วจำเลยไม่ประสงค์จะยกทรัพย์ให้นายสีจริง ๆ เมื่อจัดการยกให้แล้วนายสีก็ล้มป่วย  ยังไม่ทันเอาไปจำนองสหกรณ์  นายสีก็ถึงแก่กรรม  จำเลยไปติดต่อกับที่ดินอำเภอเพื่อขอโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืน  ที่ดินอำเภอแนะนำให้จำเลยยื่นเรื่องราวขอรับมรดกของนายสี  โจทก์ร้องคัดค้าน  จึงขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าทรัพย์พิพาทเป็นมรดกของนายสี  พิพากษาให้แบ่งทรัพย์แก่ทายาทซึ่งตกได้แก่โจทก์ ๑ ส่วน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าทรัพย์พิพาทเป็นมรดกของนายสีเช่นกัน  แต่เห็นว่ายังคงมีทายาทอื่นที่มีสิทธิได้รับส่วนแบ่ง  จึงพิพากษาแก้เป็นว่า  ให้แบ่งทรัพย์มรดกออกเป็น ๑๒ ส่วน  ให้โจทก์และจำเลยที่ ๑ ได้รับคนละ ๓ ส่วน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า  ที่นาที่สวนพิพาททั้ง ๔ แปลง  เดิมเป็นของจำเลยที่ ๑  และจำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือจดทะเบียนยกที่ดินดังกล่าวให้แก่นายสีผู้ตาย  แต่ศาลฎีกาเชื่อว่า  การที่จำเลยที่ ๑ ทำนิติกรรมยกที่พิพาททั้ง ๔ แปลงให้แก่นายสีนั้น  จำเลยที่ ๑ มิได้ตั้งใจยกให้โดยเสน่หา  แต่ทำไปเพื่อให้นายสีสมัครเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์  เอาที่ดินจำนองสหกรณ์ได้เท่านั้น  นิติกรรมดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๘  ผลก็คือว่า  ที่ดินพิพาททั้ง ๔ แปลงไม่เคยตกทอดไปเป็นของนายสี ยังคงเป็นของจำเลยที่ ๑ อยู่ตลอดมาและไม่ใช่มรดกของนายสี โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่งจากจำเลย ส่วนยุ้งข้าวนั้น  ปรากฏว่าปลูกอยู่ในที่นาพิพาท  เมื่อฟังว่านาเป็นของจำเลยที่ ๑ มาก่อน  จึงเชื่อว่ายุ้งข้าวเป็นของจำเลยที่ ๑ ด้วย
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  ให้ยกฟ้องโจทก์เสีย
