คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1016/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำหนังสือจดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้ ส. โดยมิได้ตั้งใจยกให้โดยเสน่หา แต่กระทำไปเพื่อ ส. จะได้นำไปจำนองไว้กับสหกรณ์ แล้วเอาเงินมาให้จำเลยใช้สอย นิติกรรมดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ เป็นผลให้ที่ดินพิพาทไม่เคยตกทอดเป็นของ ส. แต่ยังคงเป็นของจำเลยตลอดมา ฉะนั้น เมื่อ ส. ตายไปเสียก่อนที่จะนำที่ดินพิพาทไปจำนองสหกรณ์ ที่ดินดังกล่าวจึงไม่ใช่มรดก ส. ทายาท ส. ไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่งได้

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า นายสีถึงแก่กรรมโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ มีทรัพย์มรดกอยู่ คือที่นา ๑ แปลง ที่สวน ๓ แปลง และยุ้งข้าว ๑ หลัง นายสีเป็นคนไม่มีบุตรภรรยา บิดามารดานายสีได้ถึงแก่กรรมไปก่อนแล้ว โจทก์เป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกับจำเลยที่ ๑ คือเป็นบุตรนางทาซึ่งเป็นพี่สาวนางทุมมามารดานายสี บิดามารดาของโจทก์และจำเลยที่ ๑ ถึงแก่กรรมไปหมด จำเลยที่ ๒ ไม่ใช่ทายาท จำเลยขัดขวางไม่ให้โจทก์ครอบครองทรัพย์มรดก ขอให้แบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับส่วนแบ่งที่ตกได้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ทรัพย์พิพาททั้งหมดเป็นของนางทา เมื่อนางทาถึงแก่กรรม ทรัพย์พิพาทตกแก่จำเลยทั้งหมด ส่วนโจทก์นั้นได้ทรัพย์อื่นไปแล้ว ต่อมาจำเลยอยากได้เงิน จึงจะนำที่นา ๑ แปลงและที่สวน ๓ แปลงไปจำนองสหกรณ์ แต่เนื่องจากจำเลยเป็นหญิง จึงมอบให้นายสีไปติดต่อขอจำนองสหกรณ์ ด้วยเหตุนี้จำเลยจึงจำต้องจดทะเบียนยกทรัพย์ให้นายสี เพื่อนายสีจะได้ทำการจำนองได้ ซึ่งความจริงแล้วจำเลยไม่ประสงค์จะยกทรัพย์ให้นายสีจริง ๆ เมื่อจัดการยกให้แล้วนายสีก็ล้มป่วย ยังไม่ทันเอาไปจำนองสหกรณ์ นายสีก็ถึงแก่กรรม จำเลยไปติดต่อกับที่ดินอำเภอเพื่อขอโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืน ที่ดินอำเภอแนะนำให้จำเลยยื่นเรื่องราวขอรับมรดกของนายสี โจทก์ร้องคัดค้าน จึงขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าทรัพย์พิพาทเป็นมรดกของนายสี พิพากษาให้แบ่งทรัพย์แก่ทายาทซึ่งตกได้แก่โจทก์ ๑ ส่วน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าทรัพย์พิพาทเป็นมรดกของนายสีเช่นกัน แต่เห็นว่ายังคงมีทายาทอื่นที่มีสิทธิได้รับส่วนแบ่ง จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้แบ่งทรัพย์มรดกออกเป็น ๑๒ ส่วน ให้โจทก์และจำเลยที่ ๑ ได้รับคนละ ๓ ส่วน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่นาที่สวนพิพาททั้ง ๔ แปลง เดิมเป็นของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือจดทะเบียนยกที่ดินดังกล่าวให้แก่นายสีผู้ตาย แต่ศาลฎีกาเชื่อว่า การที่จำเลยที่ ๑ ทำนิติกรรมยกที่พิพาททั้ง ๔ แปลงให้แก่นายสีนั้น จำเลยที่ ๑ มิได้ตั้งใจยกให้โดยเสน่หา แต่ทำไปเพื่อให้นายสีสมัครเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์ เอาที่ดินจำนองสหกรณ์ได้เท่านั้น นิติกรรมดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๘ ผลก็คือว่า ที่ดินพิพาททั้ง ๔ แปลงไม่เคยตกทอดไปเป็นของนายสี ยังคงเป็นของจำเลยที่ ๑ อยู่ตลอดมาและไม่ใช่มรดกของนายสี โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่งจากจำเลย ส่วนยุ้งข้าวนั้น ปรากฏว่าปลูกอยู่ในที่นาพิพาท เมื่อฟังว่านาเป็นของจำเลยที่ ๑ มาก่อน จึงเชื่อว่ายุ้งข้าวเป็นของจำเลยที่ ๑ ด้วย
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์เสีย

Share