คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1892/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้ว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ตามสัญญายืมแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ตามสัญญายืมในฐานละเมิดได้อันเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตาม แต่ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 2 ยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานละเมิดเพราะจำเลยที่ 2ได้ขับรถของโจทก์โดยประมาทเป็นเหตุให้รถของโจทก์พลิกคว่ำเสียหาย โจทก์หาได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ฐานผิดสัญญาไม่ แม้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ตามสัญญายืม มีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญายืมก็ตาม ก็หาตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยที่ 2 ฐานละเมิดด้วยไม่
จำเลยที่ 2 มีความประพฤติไม่เรียบร้อย ขาดการอบรมดูแลที่ดี จำเลยที่ 3 ที่ 4 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 2ไม่ดูแลเอาใจใส่ ไม่ห้ามปรามในการเที่ยวเตร่จนดึกดื่น แม้แต่คืนเกิดเหตุก็ยังปล่อยให้ไปเที่ยวดื่มสุราในยามดึกและพาผู้หญิงไปนอนค้างที่โรงแรม แม้เหตุละเมิดเกิดจากการขับรถโดยประมาทมิได้เกิดจากความประพฤติด้านอื่นของจำเลยที่ 2 อันจำเลยที่ 3ที่ 4 จะต้องระมัดระวังดูแลก็ตาม เมื่อจำเลยที่ 3 ที่ 4 ไม่เอาใจใส่ดูแลความประพฤติด้านอื่นของจำเลยที่ 2 ก็แสดงว่าไม่เอาใจใส่ดูแลว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่นั้นจะไปขับรถโดยประมาทอันเป็นความประพฤติอย่างหนึ่งหรือไม่ จึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดของจำเลยที่ 2.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ขอยืมรถจากโจทก์โดยสัญญาว่าจะไม่นำรถของโจทก์ไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย แต่กลับผิดสัญญาโดยนำรถของโจทก์ไปให้จำเลยที่ 2 ยืมไปขับ จำเลยที่ 2 ได้ขับรถของโจทก์ด้วยความประมาทในขณะมึนเมาสุราและขับด้วยความเร็วสูงเป็นเหตุให้รถแฉลบเสียหลักพลิกคว่ำ รถของโจทก์ได้รับความเสียหายซึ่งทำให้โจทก์เสียหายรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 221,140 บาท จำเลยที่ 3ที่ 4 ซึ่งเป็นบิดามารดาอยู่ในฐานะผู้ปกครองของจำเลยที่ 2 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามหน้าที่ดูแลจำเลยที่ 2 ปล่อยให้จำเลยที่ 2 ไปก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น จำเลยที่ 3 ที่ 4 ต้องชดใช้ค่าเสียหายร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ให้ร่วมกันใช้เงินต้นและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 222,412.12 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 221,140 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ยืมรถจากโจทก์จำเลยที่1เห็นว่าจำเลยที่2ขับรถเป็นมาหลายปีแล้ว จึงให้จำเลยที่ 2 ยืมรถคันดังกล่าวของโจทก์ไปใช้ จำเลยที่ 2 กลับนำรถคันดังกล่าวไปใช้ด้วยความประมาทเป็นเหตุให้รถของโจทก์ได้รับความเสียหาย ฉะนั้นจำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ไม่ใช่จำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยยืมรถของโจทก์จากจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด จำเลยที่ 2 ได้ขับรถของโจทก์ด้วยความระมัดระวังและมิได้มึนเมาสุราด้วย เหตุที่เกิดเนื่องจากมีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับสวนมาในช่องเดินรถที่จำเลยที่ 2 ขับในระยะกระชั้นชิดประมาณ 10 เมตร จึงได้เกิดชนกันขึ้น เป็นเหตุสุดวิสัย ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องนั้นเป็นจำนวนมากเกินไปขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ได้อบรมดูแลจำเลยที่ 2 ด้วยความเอาใจใส่เสมอมา วันเวลาเกิดเหตุเป็นเวลาดึกมากแล้ว จำเลยที่ 2 ได้ออกจากบ้านโดยจำเลยที่ 3 ที่ 4ไม่รู้ ซึ่งเป็นการสุดวิสัยที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 จะห้ามปรามได้ เหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากจำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 2 ไปส่งนางสาวสดับพิณอ่อนสำรี ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกเกินความจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันและแทนกันชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น100,000 บาท นับแต่วันละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น
โจทก์ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1ได้ยืมรถของโจทก์ไปใช้ โดยจะส่งคืนในวันรุ่งขึ้นและรับว่าจะไม่ให้คนอื่นยืมต่อ จนเมื่อเวลาประมาณ 23 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ได้ขับรถของโจทก์ไปรับจำเลยที่ 2 ซึ่งมีอายุ 19 ปี เป็นบุตรผู้เยาว์ของจำเลยที่ 3 ที่ 4 ไปเที่ยวโดยมีเพื่อนชายหญิงอีกหลายคนไปด้วย พากันไปรับประทานอาหารและดื่มสุราจนถึงเวลา 2 นาฬิกาของวันใหม่ จึงพากันไปนอนที่โรงแรม จนเวลา 4 นาฬิกาเศษ จำเลยที่ 2 ได้ขับรถของโจทก์ออกจากโรงแรมพาเพื่อนหญิง 3 คน กับเพื่อนชาย 1 คนกลับบ้านในระหว่างทางจำเลยที่ 2 ขับรถด้วยความประมาทเป็นเหตุให้รถของโจทก์พลิกคว่ำเสียหาย
ปัญหาที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ฎีกาว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในความเสียหายตามสัญญายืมรถ จำเลยที่ 2 มิได้เป็นคู่สัญญาไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญายืมโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ตามสัญญายืมได้อยู่แล้วโจทก์จึงไม่เสียหายไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานละเมิดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 มิได้ให้การต่อสู้เกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ประเด็นนี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 จึงยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ในฐานละเมิดเพราะจำเลยที่ 2 ได้ขับรถของโจทก์โดยประมาท เป็นเหตุให้รถของโจทก์พลิกคว่ำเสียหาย จำเลยที่ 3 ที่ 4 ในฐานะบิดามารดามิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์โจทก์หาได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ฐานผิดสัญญาไม่ แม้โจทก์จะได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ตามสัญญายืม มีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญายืมก็ตามก็หาตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ฐานละเมิดด้วยไม่
ส่วนปัญหาว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ซึ่งเป็นบิดามารดาได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้นหรือไม่ เห็นว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 รับว่าในคืนเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 จะออกไปเที่ยวได้อย่างไรก็ไม่ทราบ แสดงว่าไม่สนใจดูแลจำเลยที่ 2 อย่างใกล้ชิดเพราะแม้แต่นายประสิทธิ์ พงษ์ไพจิตร พี่ชายของจำเลยที่ 4 พยานจำเลยก็ทราบว่าจำเลยที่ 2 ขับรถเป็นมานานแล้ว โจทก์มีนายชอบบัววังโป่ง ผู้ช่วยอาจารย์ฝ่ายปกครองของโรงเรียนตะพานหินที่จำเลยที่ 2 เรียนหนังสืออยู่เป็นพยานเบิกความโดยมีบันทึกการประชุมของโรงเรียนสนับสนุนว่า จำเลยที่ 2 มีความประพฤติชอบมาโรงเรียนสายขาดเรียนจนไม่มีสิทธิสอบ แต่งกายไม่เรียบร้อย มีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับนักเรียนหญิง ทางโรงเรียนเคยเรียกมารดามากำชับให้ช่วยดูแลแล้วแสดงว่าจำเลยที่ 2 มีความประพฤติไม่เรียบร้อย ขาดการอบรมดูแลที่ดีบิดามารดาไม่ดูแลเอาใจใส่ ไม่ห้ามปรามในการเที่ยวเตร่จนดึกดื่นแม้แต่คืนเกิดเหตุก็ยังปล่อยให้ไปเที่ยวดื่มสุราในยามดึกและพาผู้หญิงไปนอนค้างที่โรงแรมจนเกิดเหตุดังกล่าวที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ฎีกาว่าที่บิดามารดาต้องร่วมรับผิดเพราะขาดการดูแลนั้นจะต้องเป็นการดูแลเกี่ยวกับการขับรถอันเป็นเหตุละเมิดในคดีนี้ มิใช่ความประพฤติด้านอื่นของจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่เกี่ยวกับการทำละเมิดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้เหตุละเมิดเกิดจากการขับรถโดยประมาท มิได้เกิดจากความประพฤติด้านอื่นของจำเลยที่ 2 อันบิดามารดาจะต้องระมัดระวังดูแลก็ตามเมื่อบิดามารดาไม่เอาใจใส่ดูแลว่าความประพฤติด้านอื่นของจำเลยที่ 2 ก็แสดงว่าไม่เอาใจส่ดูแลจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่นั้นจะไปขับรถโดยประมาทอันเป็นความประพฤติอย่างหนึ่งหรือไม่ข้อโต้แย้งนี้จึงฟังไม่ขึ้น คดีฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ซึ่งเป็นบิดามารดามิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้นจึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดของจำเลยที่ 2 ด้วย

พิพากษายืน.

Share