คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1159/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์สร้างบ้านรายพิพาทลงในที่ดินที่โจทก์เช่ามา แล้วขายฝากบ้านไว้กับจำเลยโดยไม่ได้พูดกันถึงเรื่องที่ดินที่ปลูกบ้านพิพาท แต่ขายฝากไว้ในราคาสูงมาก ดังนี้แสดงให้เห็นว่า สัญญาขายฝากบ้านรายพิพาทนี้โจทก์จำเลยมีความเข้าใจต่อกัน และเจตนาขายฝากบ้านรายพิพาทโดยประสงค์ให้บ้านรายพิพาทคงปลูกอยู่ในที่ดินนั้น ไม่ต้องรื้อบ้านรายพิพาทไป เมื่อโจทก์ไม่ไถ่คืนภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา กรรมสิทธิ์ย่อมตกไปเป็นของจำเลยโดยโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยรื้อบ้านรายพิพาทไป(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2509)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ขายฝากเรือนรายพิพาทไว้กับจำเลย เมื่อพ้นกำหนดไถ่ถอนคืนแล้ว โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อเรือนไป จำเลยก็เพิกเฉยเสีย จึงขอให้ศาลบังคับ

จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยรับซื้อฝากเรือนพิพาทเพื่อหวังได้รับประโยชน์จากการให้เช่าและอยู่อาศัย ไม่ใช่ซื้อเพื่อรื้อทิ้ง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า การซื้อขายเรือนย่อมเป็นการซื้อขายเรือนทั้งหลัง ไม่ใช่ซื้อเพื่อรื้อถอนไป ให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า โจทก์สร้างบ้านรายพิพาทลงในที่ดินที่โจทก์เช่ามาแล้วขายฝากบ้านไว้กับจำเลยโดยไม่ได้พูดกันถึงเรื่องที่ดินที่ปลูกบ้านพิพาท แต่ขายฝากไว้ในราคาสูงมาก ดังนี้แสดงให้เห็นว่าสัญญาขายฝากบ้านรายพิพาทนี้ โจทก์จำเลยมีความเข้าใจต่อกัน และเจตนาขายฝากบ้านรายพิพาทโดยประสงค์ให้บ้านรายพิพาทคงปลูกอยู่ในที่ดินนั้น ไม่ต้องรื้อบ้านรายพิพาทไป เมื่อโจทก์ไม่ไถ่คืนภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา กรรมสิทธิ์ย่อมตกไปเป็นของจำเลยโดยโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยรื้อบ้านรายพิพาทไป

พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์

Share