คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1836/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเข้าชกต่อยทำร้ายผู้เสียหาย แล้วแย่งเอากระเป๋าถือของผู้เสียหายวิ่งไปขึ้นรถแทกซี่ซึ่งจอดรออยู่ห่างที่เกิดเหตุประมาณ 15 เมตร ในรถมีคนนั่งรออยู่ 2 คน คือคนขับรถและอีกคนหนึ่งซึ่งแต่งกายเป็นสตรี การที่คนแต่งกายเป็นสตรีนั่งรอจำเลยอยู่ในรถแท็กซี่ของกลางพร้อมคนขับใกล้ชิดกับที่เกิดเหตุ เฝ้าดูการกระทำของจำเลยตลอดเวลา และหนีไปพร้อมกับจำเลยหลังเกิดเหตุ ทั้งเมื่อพยานโจทก์ขับรถจักรยานยนต์ติดตามเข้าไปใกล้จำเลยและคนแต่งกายเป็นสตรีหันมามองพยานโจทก์ แสดงถึงความไม่พอใจที่มีคนติดตามมานั้น พฤติการณ์บ่งชัดว่าคนแต่งกายเป็นสตรีคน ขับรถ และจำเลยรู้เห็นคบคิดร่วมกันมาก่อนคนแต่งกายเป็นสตรีจึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วย จำเลยต้องมีความผิดฐานปล้นทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกับพวกอีกสองคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ใช้รถยนต์เป็นพาหนะเพื่อกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ โดยจำเลยกับพวกร่วมกันปล้นเอากระเป๋าหนัง 1 ใบ และทรัพย์สินซึ่งบรรจุไว้ในกระเป๋านั้น รวมราคา 6,340บาท ของ ม. ไปโดยทุจริต ในการปล้นจำเลยชกต่อยทำร้าย ม. ผู้เสียหายเพื่อให้เป็นความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์ การยื่นให้ซึ่งทรัพย์และการพาทรัพย์ที่ปล้นไป จำเลยกับพวกใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะพาทรัพย์ที่ได้จากการปล้นหลบหนี เพื่อให้พ้นจากการจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี, 83 ฯลฯ

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 จำคุก 18 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้รวม 6,340 บาทแก่ผู้เสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสอง, 83 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี ฯลฯ จำคุก 15 ปีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้เสียหายเดินอยู่ทางเดินริมถนนสีลม มีคนร้ายใช้กำลังชกต่อยทำร้ายผู้เสียหาย แลัวแย่งเอากระเป๋าถือผู้เสียหายที่บรรจุทรัพย์สินต่าง ๆ วิ่งไปขึ้นรถยนต์แท็กซี่ที่จอดรออยู่ห่างที่เกิดเหตุประมาณ 15 เมตร มีคนอยู่ในรถนั้น 2 คน คือคนขับและคนแต่งกายเป็นสตรีแล้วรถแท๊กซี่แล่นหนีไป ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วเชื่อว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่แย่งกระเป๋าถือผู้เสียหาย ส่วนปัญหาว่าคนแต่งกายเป็นสตรีที่นั่งรออยู่ในรถยนต์แท๊กซี่ของกลางเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยหรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการที่คนแต่งกายเป็นสตรีนั่งรอจำเลยอยู่ในรถยนต์แท๊กซี่ของกลางพร้อมคนขับใกล้ชิดกับที่เกิดเหตุ เฝ้าดูการกระทำของจำเลยตลอดเวลา และหนีไปพร้อมจำเลยหลังเกิดเหตุ ทั้งเมื่อพยานโจทก์ขับรถจัรกยานยนต์ติดตามเข้าไปใกล้ จำเลยและคนแต่งกายเป็นสตรีหันมามองพยานโจทก์ แสดงถึงความไม่พอใจที่มีคนติดตามมานั้น พฤติการณ์บ่งชัดว่าคนแต่งกายเป็นสตรี คนขับรถ และจำเลยรู้เห็นคบคิดร่วมกันมาก่อน คนแต่งกายเป็นสตรีจึงเป็นตัวการ่วมกระทำความผิดด้วย จำเลยต้องมีความผิดฐานปล้นทรัพย์

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก, 340 ตรี ฯลฯ ให้ลงโทษจำเลยและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share