แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฉ. ติดต่อหามือปืนมายิงผู้เสียหายตามที่จำเลยที่ 1 ต้องการฉ. มีพฤติการณ์เป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด แต่เมื่อโจทก์ได้กัน ฉ. ไว้ที่พยาน คำเบิกความของ ฉ. รับฟังได้ แต่มีน้ำหนักน้อย ต้องฟังพยานอื่นประกอบจึงจะรับฟังลงโทษจำเลยได้
จำเลยที่ 1 จ้าง วาน ใช้ ให้จำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย แต่จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้กระทำความผิดฆ่าผู้อื่นจำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 84 วรรคสอง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าผู้อืนโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน โดยจำเลยที่ ๑ มีสาเหตุโกรธเคืองกับนายสุรศักดิ์ อมรชัยชาญ ในคดีฟ้องขับไล่ จึงว่าจ้างจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท ให้ฆ่านายสุรศักดิ์หรือจัดหามือปืนฆ่า จำเลยที่ ๒ รับจะจัดหามือปืนฆ่านายสุรศักดิ์ในอัตราค่าจ้างดังกล่าว และจำเลยที่ ๒ ได้ตกลงว่าจ้างผู้มีชื่อซึ่งหลบหนีให้จดการฆ่านายสุรศักดิ์ตามที่จำเลยที่ ๑ ต้องการ แต่ความผิดยังไม่ได้กระทำลง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๘๔ วรรคแรก, ๒๘๘, ๒๘๙ (๔) ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ความผิดนั้นยังมิได้กระทำลงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๔), ๘๔ ประกอบด้วยมาตรา ๕๒, ๕๓ ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๒๕ ปี คำรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงให้จำคุก ๑๖ ปี ๘ เดือน ริบของกลาง ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๒๙ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ ๒ และนายสมัด มะลิซ้อน ได้ในขณะที่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลของจำเลยที่ ๒ จอดติดไฟแดงที่สี่แยกคลองตัน เมื่อค้นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของจำเลยที่ ๒ และค้นตัวจำเลยที่ ๒ กับนายสมัด พบอาวุธปืนสั้นหลายชนิดและกระสุนปืนหลายขนาดพร้อมด้วยภาพถ่ายผู้เสียหายและแผนที่ร้านผู้เสียหายเป็นของกลาง ตามบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.๑๘ ต่อมาวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๒๙ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ ๑ ได้พร้อมด้วยแผ่นฟิล์มเนกาตีฟสีมีรูปผู้เสียหายขนาด ๓๕ มม. จำนวน ๑ แผ่น ซึ่งเมื่อขยายภาพแล้วจะเป็นภาพถ่ายผู้เสียหายตามภาพถ่ายหมาย จ.๑ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายและนายควง คูหากาญจน์ เป็นพยานเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า ผู้เสียหายได้ซื้อที่ดินและตึกแถวเลขที่ ๑๙๙ กับห้องอื่นอีก ๕ ห้อง อยู่ที่ถนนหลวง แขวงเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานครจากนางสาวสดศรี วัฒนานันท์ โดยให้นางสาวสดศรีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกไปก่อนโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้เสียหาย ต่อมานางสาวสดศรีฟ้องขับไล่ผู้เช่าและศาลได้พิพากษาให้ขับไล่ แต่นายสุรชัย หาญวงศ์ไพบูลย์ ญาติของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้เช่าห้องเลขที่ ๑๙๙ ไม่ยอมออก ศาลแพ่งออกหมายบังคับคดีและหมายจับจำเลยที่ ๑ ในฐานะเป็นบริวารของนายสุรชัย เพื่อให้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล จำเลยที่ ๑ ขอซื้อที่ดินต่อจากผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายไม่ยอมขายให้ จำเลยที่ ๑ จึงโกรธแค้นผู้เสียหายมาก นายฉัตรชัย เกริกไกรวุฒิกุล พยานโจทก์ปากหนึ่งเบิกความว่าจำเลยที่ ๑ มาหาพยานที่ร้านบอกว่ามีเรื่องถูกฟ้องขับไล่ออกจากที่ดินและถูกจับไปยังรู้สึกโกรธแค้นผู้เสียหายหมากอยากจะยิงผู้เสียหาย ให้พยานช่วยหามือปืนให้ แต่พยานยังไม่รับปาก ต่อมาอีก ๒ – ๓ วันพยานพบจำเลยที่ ๒ เล่าเรื่องที่จำเลยที่ ๑ มาพบให้ฟังและถามว่ามีคนจะจ้างให้ยิงคนเอาไหม จำเลยที่ ๒ ว่า เอา พยานจึงนัดจำเลยที่ ๑ มาพบกับจำเลยที่ ๒ ถึงวันนัด จำเลยที่ ๑ คุยกับจำเลยที่ ๒ นานประมาณ ๑๐ นาที ที่ข้างร้านลำไยซุปเปอร์มาร์เก็ต จำเลยทั้งสองก็ออกมา จำเลยที่ ๒ บอกพยานว่าตกลงกันเรียบร้อยแล้วอีก ๓ – ๔ วันต่อมาจำเลยที่ ๑ ชำระเงินค่าจ้างวานให้จำเลยที่ ๒ จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท ที่ร้านพยาน จำเลยที่ ๒ ขอแผนที่กับรูปถ่ายคนที่จะยิง จำเลยที่ ๑ บอกว่าอีก ๒ วันจะเอามาให้ เมื่อจำเลยทั้งสองมาที่ร้านพยานอีก จำเลยที่ ๑ ได้เอารูปถ่ายกับแผนที่มอบให้จำเลยที่ ๒ แล้วแยกย้ายกันกลับ พันตำรวจโทประมวลศักดิ์ ศรีสมบุญ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า พยานเป็นผู้ตรวจค้นจับกุมจำเลยที่ ๒ กับนายสมัด ค้นพบภาพถ่ายของผู้เสียหาย ๑ ภาพ หมาย จ.๒ และแผนที่ร้านห้างหุ้นส่วนจำกัดไฮฮวดพานิชเอกสารหมาย จ.๒ พันตำรวจโทกฤษฎา พันธ์คงชื่น พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่าพยานเป็นผู้จับกุมจำเลยที่ ๑ ค้นพบฟิล์มถ่ายรูปเนกาตีฟ ๑ แผ่น จำเลยที่ ๑ ให้การว่าเป็นผู้จ้างวานให้ยิงผู้เสียหาย ตามบันทึกการตรวจค้นและบันทึกการจับกุม เอกสารหมาย จ.๑๑ และ จ.๑๒ พันตำรวจโทศุภวิทย์ ชูนาค พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า พยานเป็นพนักงานสอบสวน จำเลยที่ ๑ รับว่าวางเงินมัดจำให้กับจำเลยที่ ๒ จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท เพื่อหามือปืนไปยิงผู้เสียหาย ตามบันทึกคำให้การของจำเลยที่ ๑ เอกสารหมาย จ.๑๙ จำเลยที่ ๑ นำไปชี้ที่เกิดเหตุและถ่ายภาพไว้ปรากฏตามบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.๒๕ บันทึกและภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.๒๖ พยานได้ส่งฟิล์มเนกาตีฟสี ๑ แผ่น เอกสารหมาย จ.๑ และแผนที่เอกสารหมาย จ.๒ พร้อมลายมือเขียนตัวอย่างของจำเลยที่ ๑ ไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย จ.๓ และ จ.๕ ซึ่งโจทก์มีพันตำรวจตรีธีระ นัยวัฒน์และพันตำรวจตรีสมชาย ศิริพันธุ์ มาเป็นพยานเบิกความรับรองว่าภาพสีผู้เสียหายหมาย จ.๑ ขยายมาจากฟิล์มเนกาตีฟสีผู้เสียหายและลายมือเขียนข้อความตัวอย่างและแผนที่ของกลางเป็นลายมือบุคคลเดียวกันดังปรากฏตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย จ.๓ และ จ.๔ ตามลำดับ ศาลฎีกาเห็นว่า นายฉัตรชัยพยานโจทก์รู้จักคุ้นเคยกับจำเลยที่ ๑ เป็นลูกค้าไปซื้อของที่ร้านฮั้วออโตเป็นประจำ บิดาจำเลยที่ ๑ เป็นเพื่อนสนิทกับนายฉัตรชัยและเคยมีบุญคุณต่อนายฉัตรชัย จำเลยที่ ๑ จึงนับถือนายฉัตรชัยเรียกว่าน้า นายฉัตรชัยจึงเป็นบุคคลที่จำเลยที่ ๑ ไว้วางใจเล่าเรื่องที่ถูกจับให้ฟัง นายฉัตรชัยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ ๑ แม้นายฉัตรชัยจะเบิกความว่า เป็นผู้หามือปืนให้จำเลยที่ ๑ มีพฤติการณ์เป็นผู้กระทำการช่วยเหลือในการที่ติดต่อหามือปืนมายิงผู้เสียหายตามที่จำเลยที่ ๑ ต้องการ ซึ่งต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังแต่เมื่อโจทก์ได้กันนายฉัตรชัยไว้เป็นพยาน คำเบิกความนายฉัตรชัยพยานโจทก์ดังกล่าวอาจรับฟังได้ แต่มีน้ำหนักน้อยดังนั้นจึงต้องฟังพยานอื่นประกอบ พันตำรวจโทกฤษฎา พยานโจทก์อีกปากหนึ่งยืนยันว่าเป็นผู้ตรวจค้นร้านจำเลยที่ ๑ ค้นพบฟิล์มเนกาตีฟสีภาพผู้เสียหาย ๑ แผ่น จึงจับกุมจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ให้การว่าเป็นผู้จ้างวานให้ยิงผู้เสียหาย พยานกระทำการตามหน้าที่จึงเชื่อว่าเบิกความตามที่รู้เห็น นอกจากนี้เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจนำฟิล์มเนกาตีฟสีภาพผู้เสียหายไปขยายปรากฏว่าเป็นภาพเดียวกับภาพถ่ายผู้เสียหายที่พันตำรวจโทประมวลศักดิ์พยานโจทก์อีกปากหนึ่งค้นได้จากจำเลยที่ ๒ และลายมือเขียนในแผนที่เอกสารหมาย จ.๒ ที่แสดงสถานที่ตั้งของผู้เสียหายก็เป็นลายมือของจำเลยที่ ๑ ปรากฏตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย จ.๓ และ จ.๔ ตามลำดับ นอกจากนี้ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพว่าได้ให้นายฉัตรชัยช่วยหามือปืน และจำเลยที่ ๑ ตกลงว่าจ้างจำเลยที่ ๒ เป็นจำนวนเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๒ ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายให้ตายตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.๑๒ บันทึกการรับสารภาพของจำเลยที่ ๑ เอกสารหมาย จ.๑๓ และบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.๑๙ จำเลยที่ ๑ ได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพตามบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.๒๕ และยอมให้ถ่ายภาพรวม ๔ ภาพ ตามภาพถ่ายหมาย จ.๒๖ การที่จำเลยที่ ๑ นำชี้ที่เกิดเหตุและยอมให้ถ่ายภาพ พนักงานสอบสวนได้กระทำต่อหน้าบุคคลอื่นและการชี้จุดที่เกิดเหตุตลอดจนยอมให้ถ่ายภาพต้องใช้เวลานานแสดงว่าจำเลยที่ ๑ รับสารภาพโดยสมัครใจ พนักงานสอบสวนมิได้ล่อลวง ขู่เข็ญ หรือให้สัญญากับจำเลยที่ ๑ เพื่อเป็นการจูงใจคงมีแต่นายฉัตรชัยบอกให้จำเลยที่ ๑ รับสารภาพ ที่จำเลยที่ ๑ รับสารภาพจึงรับฟังได้ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาสอดคล้องต้องกันมีน้ำหนักฟังลงโทษจำเลยที่ ๑ ได้พยานจำเลยที่ ๑ ที่นำสืบว่านายฉัตรชัยเป็นผู้จัดการหามือปืนมาเองโดยจำเลยที่ ๑ มิได้จ้าง วาน ใช้ ไม่มีน้ำหนักฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ จ้าง วาน ใช้ให้จำเลยที่ ๒ ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายแต่จำเลยที่ ๒ ยังไม่ได้กระทำความผิดฆ่าผู้เสียหาย จำเลยที่ ๑ จึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๔), ๘๔ วรรคสอง…”
พิพากษายืน.