คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18347/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ตามคำฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยกล่าวแก่โจทก์ว่า “แม่แก่แล้วอายุตั้ง 90 ปี พูดกลับไปกลับมา แม่ใหญ่ได้แค่ในห้องนี้แหละ ข้างนอกฉันใหญ่ ถ้าไม่มีแม่ ฉันก็ดูแลทุกอย่างเองได้ ออกไปจากบ้านเถอะ” ต่อมาชั้นสืบพยานโจทก์เบิกความแต่เพียงว่า จำเลยกล่าวแก่โจทก์ว่า “แม่อายุ 90 ปี แล้ว พูดกลับไปกลับมา แม่ไม่อยู่ไม่มีแม่เค้าก็ทำได้” และจำเลยบอกคนดูแลโจทก์ให้จูงโจทก์ออกไปข้างนอก แม้ในข้อนี้จำเลยจะให้การปฏิเสธว่าไม่ได้พูดข้อความเช่นนั้นและอ้างว่าวันเกิดเหตุจำเลยเดินทางไปต่างจังหวัดก็ตาม เมื่อพิจารณาข้อความดังกล่าวเป็นเพียงการพูดจาโดยไม่มีสัมมาคารวะและไม่เคารพยำเกรงโจทก์ผู้เป็นมารดาเท่านั้น ไม่ถึงขนาดเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง อันจะถือได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกถอนคืนการให้ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนที่ดินทั้งห้าโฉนดคืนโจทก์ หากจำเลยไม่กระทำการดังกล่าวให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลย 5,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ถึงแก่ความตาย นางนิรมลและนางศรีประไพ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน
จำเลยคัดค้านว่า ผู้ร้องทั้งสองไม่เหมาะที่จะเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังว่า นางนิรมลและนางศรีประไพเป็นทายาทของโจทก์ จึงมีคำสั่งอนุญาตให้นางนิรมลและนางศรีประไพเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะต่อไป ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ประกอบธุรกิจห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำเลยเป็นบุตรสาวคนโตของโจทก์ โดยโจทก์มีบุตรคนอื่นที่ยังมีชีวิตอยู่อีก 5 คน คือ นายหาญ นางนิรมล นางถิระศิริ นางพจนีย์และนางศรีประไพ เดิมโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน 5 แปลง ได้แก่ ที่ดินโฉนดเลขที่ 7043, 14766 และ 113348 ตำบลพระโขนง (บางจาก) อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร ที่ดินโฉนดเลขที่ 14767 ตำบลพระโขนงเหนือ (บางจาก) อำเภอวัฒนา (พระโขนง) จังหวัดพระนคร และที่ดินโฉนดเลขที่ 38859 ตำบลสวนหลวง (พระโขนงฝั่งเหนือ) อำเภอสวนหลวง (พระโขนง) จังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2518 โจทก์ทำนิติกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 113348 ให้แก่จำเลย วันที่ 14 ธันวาคม 2531 โจทก์ทำนิติกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 14767 ให้แก่จำเลย วันที่ 13 พฤศจิกายน 2543 โจทก์ทำนิติกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 7043 และ 14766 ให้แก่จำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์ วันที่ 17 กันยายน 2547 โจทก์ทำนิติกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 38859 ให้แก่จำเลยและนายหาญโดยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ซึ่งเป็นการยกให้โดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทนทั้งห้าแปลง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์โดยหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ถอนคืนการให้ได้หรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยกล่าวแก่โจทก์ว่า “แม่แก่แล้วอายุตั้ง 90 ปี พูดกลับไปกลับมา แม่ใหญ่ได้แค่ในห้องนี้แหละ ข้างนอกฉันใหญ่ ถ้าไม่มีแม่ ฉันก็ดูแลทุกอย่างเองได้ ออกไปจากบ้านเถอะ” ต่อมาในชั้นสืบพยานโจทก์เบิกความแต่เพียงว่า จำเลยกล่าวแก่โจทก์ว่า “แม่อายุ 90 ปี แล้ว พูดกลับไปกลับมา แม่ไม่อยู่ไม่มีแม่เค้าก็ทำได้” และจำเลยบอกคนดูแลโจทก์ให้จูงโจทก์ออกไปข้างนอก แม้ในข้อนี้จำเลยจะให้การปฏิเสธว่าไม่ได้พูดข้อความเช่นนั้นและอ้างว่าวันเกิดเหตุจำเลยเดินทางไปต่างจังหวัดก็ตาม เมื่อพิจารณาข้อความดังกล่าวเป็นเพียงการพูดจาโดยไม่มีสัมมาคารวะและไม่เคารพยำเกรงโจทก์ผู้เป็นมารดาเท่านั้น ไม่ถึงขนาดเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง อันจะถือได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกถอนคืนการให้ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share