แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ย่อยาว
เดิมหม่อมราชวงศ์สุพรรณโจทย์ที่ ๑ ฟ้องต่อศาลจังหวัดฉเชิงเซาอ้างว่าเปนเจ้าของผู้ถือใบตรอกที่นาของบริษัทขุดคลองและคูนาสยาม ตำบลคลองซอยที่ ๑๕ ฝั่งใต้คลอง ๒ วาสายล่าง เปนเนื้อที่นา ๒๐๐ ไร่ โดยขุนอนุกูลฯจำเลยที่ ๑ ผู้ถือใบตรอกเดิมได้โอนให้ และขุนอนุกูลฯได้ทำสัญญาเช่านารายนี้ไปจากโจทย์ แล้วได้จัดให้จำเลยที่ ๒ – ๓ – ๔ เข้าทำด้วย จำเลยทั้งนี้กลับสมรู้เปนใจกันนำเจ้าพนักงานเกษตรรังวัดที่นา เพื่อขอรับโฉนด โดยอ้างว่าเปนที่ของจำเลยได้ปกครองมา จึงขอให้ขับไล่จำเลย และขอขอให้สั่งพนักงานเกษตรออกโฉนดในนามของโจทย์ ฯ
ขุนอนุกูลฯจำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญาเช่านาโจทย์ และปฏิเสธว่าจำเลยไม่เกี่ยวข้องกับที่นารายนี้แล้ว ส่วนจำเลยที่ ๒ – ๓ – ๔ ต่อสู้ว่าได้หักร้างถางพงทำมาในที่นารายนี้ก่อนที่บริษัทขุดคลองไปถึง ขุนอนุกูล ฯ กับโจทย์จะมีสัญญาเกี่ยวข้องกันอย่างไรไม่รู้เห็นด้วย และจำเลยทั้งหมดตัดฟ้องว่าโจทย์ไม่มีอำนาจฟ้อง โดยบริษัทขุดคลองและคูนาสยามหมดอำนาจอายุสัญญาแล้ว ฯ
ต่อมานายบรุ๊ก ผู้ชำระบาญชีบริษัทขุดคลองและคูนาสยามยื่นคำร้องขอให้บริษัทเข้าเปนโจทย์ในคดีนี้ด้วย ศาลจังหวัดฉเชิงเซาสั่งอนุญาต ฯ
ศาลจังหวัดฉเชิงเซาพิจารณาคดีนี้ ฟังว่าขุนอนุกูล ฯ จำเลยที่ ๑ ได้เช่าที่นารายนี้จากหม่อมราชวงศ์สุวพรรณโจทย์ และจำเลยที่ ๒ – ๓ – ๔ ได้เข้าทำโดยอำนาจของจำเลยที่ ๑ จึงพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทุกคนออกจากที่วิวาท และให้เจ้าพนักงานออกโฉนดให้หม่อมราชวงศ์สุวรรณโจทย์ ให้จำเลยเสียค่าธรรมเนียมกับค่ทนาย ๑๐๐ บาทแทนโจทย์ ฯ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษพิพากษากลับคำพิพากษาศาลเดิม และให้ยกฟ้องของโจทย์เสีย ให้โจทย์เสียค่าธรรมเนียมกับค่าทนาย ๑๕๐ บาทแทนจำเลย ฯ
โจทย์ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปฤกษาคดีนี้เห็นว่าโจทย์จะชนะคดีได้ก็โดยสิทธิ ๒ ทาง คือ ทาง ๑ โดยสิทธิของบริษัทขุดคลองและคูนาสยาม อีกทาง ๑ ก็โดยสิทธิส่วนตัวของหม่อมราชวงศ์สุวพรรณโจทย์ ส่วนสิทธิของบริษัทขุดคลองและคูนาสยามนั้นเปนสิทธิพิเศษ ซึ่งเกิดขึ้นโดยสัญญา และประกาศประราชทานอำนาจพิเศษแก่บริษัทในการที่ได้รับอนุญาตขุดคลอง แต่สัญญานั้นได้สิ้นอายุไปหลายปีแล้ว สิทธิพิเศษของบริษัทจึงเปนอันหมดไปโจทย์จะชนะคดีโดยทางนี้มิได้ มังคงเหลือที่จะต้องพิจารณาถึงสิทธิส่วนตัวของหม่อมราชวงศ์สุวพรรณโจทย์ ในข้อนี้โจทย์ไม่มีหลักฐานอย่างใดที่จะแสดงว่าที่รายนี้เปนของโจทย์ นอกจากอ้างสัญญาเช่าของขุนอนุกูล ฯ จำเลย กับอ้างจำเลยอื่น ๆ ได้เข้าทำในที่รายนี้โดยอำนาจขุนอนุกูล ฯ หนังสือสัญญาเช่าที่โจทย์อ้างและนำส่งต่อศาลนั้น ความจริงไม่ใช่สัญญาเช่าเลย เปนสัญญาที่โจทย์ทำให้ขุนอนุกูล ฯ โดยโจทย์ตกลงจะขายนาให้ต่างหาก สัญญานั้นโจทย์มีแต่สำเนามาส่งศาล ไม่มีต้นฉบัพไม่มีลายมืออนุกูล ฯ แต่เมื่อไม่ใช่เปนสัญญาเช่าดังกล่าวแล้ว ถึงจะมีต้นฉบัพก็ไม่มีประโยชน์แก่คดีโจทย์ นอกจากนี้ก็มีแต่คำโจทย์เบิกความประกอบหนังสือสัญญาที่อ้างนั้น แต่เมื่อสัญญานั้นไม่ใช่สัญญาเช่า คำเบิกความประกอบของโจทย์ก็ไม่เปนประโยชน์แก่คดีดุจกัน อีกประการ ๑ โจทย์อ้างว่าได้ให้ขุนอนุกูล ฯ เช่าตั้งแต่รัตนโกสินทรศก ๑๒๓ (พ.ศ.๒๔๔๗) และโจทย์เบิกความว่าขุนอนุกูล ฯ ได้ส่งค่าเช่าเพียงปี ร.ศ.๑๒๕ (พ.ศ.๒๔๔๙) โจทย์ฟ้องคดีนี้เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๐ ศาลล่วงเลยมาถึง ๑๐ ปีเศษ เห็นว่าโจทย์ไม่มีทางที่จะชนะคดีขุนอนุกูล ฯ ถามข้ออ้างของโจทย์นั้นได้ และเมื่อโจทย์ชนะคดีขุนอนุกูล ฯ ไม่ได้แล้วส่วนจำเลยอื่น ๆ โจทย์มิได้อ้างว่ามีสิทธิอย่างไรที่จะฟ้องจำเลยเหล่านั้น นอกจากกล่าวว่าเปนผู้เข้าทำนาโดยอำนาจขุนอนุกูล ฯ เต่เมื่อข้ออ้างของโจทย์ในส่วนขุนอนุกูล ฯ ฟังไม่ได้แล้ว เพียงเท่านั้นฟ้องของโจทย์ในส่วนจำเลยอื่นก็ต้องตกไปด้วย แต่กรรมการศาลฎีกายังเห็นต่อไปว่า ข้อที่โจทย์อ้างว่าจำเลยอื่น ๆ เข้าทำโดยอำนาจขุนอนุกูล ฯ ก็ไม่มีหลักฐานที่ควรฟังอีก เพราะโจทย์ไม่มีหลักฐานพยานอย่างใด นอกจากคำพยานที่เบิกความรวม ๆ ว่าได้ยินจำเลยพูดว่าได้เช่าที่นาจากขุนอนุกูล ฯ บ้าง ได้ซื้อจากขุนอนุกูล ฯ บ้าง กรรมการศาลฎีกาเห็นว่าคำพยานเหล่านี้ไม่หักล้างหลักฐานการปกครองของจำเลยซึ่งสืบสมว่า จำเลยได้ปกครองทำมาในที่รายนี้ตั้ง ๒๐ ปีเศษ ฯ
ด้วยเหตุผลทั้งหลายดังกล่าวมาข้างต้น กรรมการศาลฎีกาเห็นว่าโจทย์ไม่มีอำนาจที่จะฟ้องจำเลยในคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษพิพากษาให้ยกฟ้องโจทย์เสียนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทย์ไม่มีทางที่จะชนะคดีได้ จึงพร้อมกันพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษ และยกฎีกาของโจทย์เสีย ฯ
วันที่ ๙ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓