แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าประเภทธนาคาร ได้สั่งสมุดเช็คจากประเทศอังกฤษเข้ามาในประเทศไทย เพื่อใช้ในกิจการของโจทก์ โดยมอบให้ลูกค้าที่เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารโจทก์ใช้สั่งจ่ายเงินสมุดเช็คนั้นเป็นสินค้าอย่างหนึ่งตามประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2504 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาทมาตรา 79 ทวิ (1) การนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าตามประเภทการค้า 1 ชนิด 1 (ก) โดยมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขายและสินค้าเหล่านั้นมิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร ถือว่าเป็นการขายสินค้า สมุดเช็คที่โจทก์สั่งเข้ามามีราคาถึงสามแสนบาทเศษ มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้ตามปกติและตามสมควร โจทก์ย่อมเป็นผู้ประกอบการค้าสินค้าสมุดเช็คซึ่งตาม ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า (ฉบับที่ 3) ให้ถือว่าผู้ประกอบการค้าที่เป็นผู้นำเข้าซึ่งสินค้าทุกชนิดได้ขายสินค้าในวันนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อคำนวณมูลค่าของสินค้าเป็นรายรับในการที่จะประเมินภาษีการค้า โจทก์จึงต้องเสียภาษีการค้าตามมูลค่าของสมุดเช็คซึ่งคำนวณได้ดังกล่าวในประเภทการค้า 1 การขายของ รายการที่ประกอบการค้าการขายสินค้าชนิด 1 (ก)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบกิจการธนาคาร โจทก์ได้นำสมุดเช็คเข้ามาในราชอาณาจักร เป็นการที่โจทก์จัดทำเป็นการเฉพาะตัวในกิจการของโจทก์ แต่เจ้าพนักงานประเมินภาษีการค้าของจำเลยที่ได้ประเมินเป็นรายรับทั้งสิ้น ๓๕๒,๒๑๓.๗๐ บาท และให้โจทก์ชำระค่าภาษีเงินเพิ่ม เบี้ยปรับภาษีบำรุงเทศบาล โจทก์อุทธรณ์จำเลยที่ ๒, ๓, ๔ เป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ชี้ขาดว่าการประเมินถูกต้องแต่ผ่อนผันลดเบี้ยปรับให้ กับลดภาษีบำรุงเทศบาลตามส่วน ซึ่งโจทก์ไม่เห็นด้วย ขอให้พิพากษาว่า คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒, ๓, ๔ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์และโจทก์ไม่พึงต้องเสียภาษีรวม ๓๕,๔๔๗.๑๘ บาท
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ เป็นว่า โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าสำหรับสินค้าสมุดเช็คที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าประเภทธนาคารมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้า ประเภทการค้า๑๒ ธนาคารโจทก์สั่งสมุดเช็คจากประเทศอังกฤษเข้ามาในประเทศไทยเพื่อใช้เองในกิจการของโจทก์ มีมูลค่าเป็นเงิน ๓๓๒,๒๑๓ บาท ๗๐ สตางค์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้นำเข้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า ๑ การขายของรายการที่ประกอบการค้าการขายสินค้าชนิด ๑(ก) สำหรับสมุดเช็คที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ตามรายการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวจะต้องวินิจฉัยตามประมวลรัษฎากรซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๐๔ อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาทคดีนี้ ประมวลรัษฎากรได้กำหนดบัญชีอัตราภาษีการค้าสำหรับผู้ประกอบการค้าแต่ละประเภทไว้ตามบัญชีอัตราภาษีการค้า ประเภทการค้า ๑ การขายของรายการที่ประกอบการค้า การขายสินค้าชนิด ๑(ก) สินค้าและวัตถุพลอยได้นอกจากที่ระบุในชนิด ๒ ถึงชนิด ๙ และนอกจากที่ระบุในประเภทการค้าอื่นแล้วผู้ประกอบการค้าที่มีหน้าที่เสียภาษีการค้าคือผู้นำเข้าซึ่งสินค้าข้อเท็จจริงได้ความแล้วว่า โจทก์เป็นผู้สั่งสมุดเช็คเข้ามาในราชอาณาจักร จึงมีข้อที่จะต้องพิจารณาว่าสมุดเช็คเป็นสินค้าหรือไม่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้ให้ความหมายของคำว่า “สินค้า” ว่า “สิ่งของที่ซื้อขายกัน” นายประไพ โพธิ์เงิน พยานโจทก์เบิกความว่า ธนาคารโจทก์สั่งสมุดเช็คเข้ามาในประเทศไทยมีมูลค่าเป็นเงินประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ บาทเศษ ฟังได้ว่าโจทก์ซื้อสมุดเช็คมาจากผู้อื่น สมุดเช็คเหล่านั้นย่อมมีสภาพเป็นสินค้าและโจทก์เป็นผู้นำเข้าซึ่งสินค้าสมุดเช็คการนำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าประเภทการค้า ๑ ชนิด ๑(ก) โดยมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขาย และสินค้าเหล่านั้นมิใช่เป็นของใช้ส่วนตัว ซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควรถือว่าเป็นการขายสินค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๙ ทวิ(๑) ทั้งตามมาตรา ๗๗ บัญญัติว่า “การค้า” หมายถึง “การนำเข้า” ด้วยและ “ผู้นำเข้า” หมายความว่า “ผู้ประกอบการค้าที่สั่งหรือนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร”ตามบทบัญญัติดังกล่าว เพียงเป็นผู้นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรถึงแม้ว่าจะมิได้นำสินค้าออกขายหรือผลิตเพื่อขาย ก็ถือได้ว่าผู้นำเข้าเป็นผู้ประกอบการค้าสินค้าเหล่านั้นตามความหมายของประมวลรัษฎากรแล้วแต่มีข้อยกเว้นอยู่ว่าสินค้านั้นต้องมิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควรข้อเท็จจริงได้ความจากนายประไพ โพธิ์เงิน พยานโจทก์ ว่าโจทก์สั่งสมุดเช็คเข้ามาเพื่อให้ลูกค้าที่เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารโจทก์เซ็นเช็คสั่งจ่ายเงินเอาจากธนาคารโจทก์ได้ และสมุดเช็คดังกล่าวก็มีราคาถึง ๓๐๐,๐๐๐ บาทเศษ เห็นว่า สมุดเช็คที่โจทก์สั่งเข้ามาเพื่อใช้ในกิจการของโจทก์นั้น มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร จึงฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าสินค้าสมุดเช็ค อนึ่ง ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีการค้า (ฉบับที่ ๓) เรื่องให้ถือว่าผู้ประกอบการค้าที่เป็นผู้นำเข้าได้ขายสินค้าในวันนำเข้าในราชอาณาจักร ตามเอกสารหมาย ล.๑ ก็ให้ถือว่าผู้ประกอบการค้าที่เป็นผู้นำเข้าซึ่งสินค้าทุกชนิดได้ขายสินค้าในวันนำเข้าในราชอาณาจักรด้วย ทั้งนี้ เพื่อคำนวณมูลค่าของสินค้าเป็นรายรับในการที่จะประเมินภาษีการค้า เมื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าสินค้าสมุดเช็ค ก็ต้องคำนวณมูลค่าของสินค้าสมุดเช็คเป็นรายรับของโจทก์เพื่อเสียภาษีการค้า ประเภทการค้า ๑ การขายของชนิด ๑(ก) อีกประเภทหนึ่งด้วย นอกเหนือจากรายรับของโจทก์ที่ระบุไว้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๙(๓) ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าประเภทการค้า ๑ การขายของรายการที่ประกอบการค้าการขายสินค้า ชนิด ๑(ก) สำหรับสินค้าสมุดเช็คที่สั่งเข้ามาในราชอาณาจักรการประเมินภาษีการค้าของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒, ๓, ๔ ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์