คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1817/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันรถยนต์คันที่ ธ. ขับ โจทก์ได้แนบเอกสารกรมธรรม์ประกันภัยไว้ท้ายฟ้อง ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง ตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวระบุถึงความรับผิดของโจทก์ว่าหากรถยนต์ที่รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหายบริษัทมีสิทธิจัดการซ่อม และโจทก์ยังได้บรรยายฟ้องต่อไปอีกว่าโจทก์ได้จัดการซ่อมและส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้ว คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายโดยแจ้งชัดแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้ชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันไปเมื่อใดก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 5 ฐ-4111 กรุงเทพมหานคร ไว้จากนางสาวธันยาภรณ์ เพ็งจั่น เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2539 จำเลยขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2 ฮ-5490 กรุงเทพมหานคร แล่นมาตามถนนสายหนองพลับ-หัวหิน จากอำเภอหัวหินมุ่งหน้าไปตำบลหนองพลับ เมื่อมาถึงบริเวณสี่แยกถนนสายชะอำ-ปราณบุรี ตัดกับถนนสายหนองพลับ-หัวหิน อันเป็นที่เกิดเหตุซึ่งมีเครื่องหมายจราจรแสดงให้หยุด แต่จำเลยกลับขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อโดยไม่หยุดรถและไม่ดูรถในทางเดินรถสายเอกเข้าสู่สี่แยกที่เกิดเหตุด้วยความเร็วสูง และแล่นตัดหน้ารถของนางสาวธันยาภรณ์ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ในระยะกระชั้นชิดทำให้รถของจำเลยเฉี่ยวชนกับรถของนางสาวธันยาภรณ์ เป็นเหตุให้รถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้ซ่อมแซมรถยนต์และส่งมอบรถยนต์ให้แก่นางสาวธันยาภรณ์ไปแล้วเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 350,000 บาท จึงรับช่วงสิทธิมาฟ้องคดีนี้ จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์คิดเป็นค่าเสียหายจำนวน 750,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 750,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะลายมือชื่อผู้มอบอำนาจให้ฟ้องดำเนินคดีแทนเป็นลายมือชื่อปลอม ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากมิได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าโจทก์ได้ชำระค่าเสียหาย อันเป็นฐานแห่งการคิดดอกเบี้ยและอายุความในคดีนี้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปตั้งแต่เมื่อใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 475,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับตั้งแต่วันฟ้อง (วันที่ 10 เมษายน 2540) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 600 บาท
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 600,000 บาท ให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นางสาวธันยาภรณ์ เพ็งจั่น ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 5 ฐ-4111 กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้มาตามถนนสายชะอำ-ปราณบุรี ส่วนจำเลยขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2 ฮ-5490 กรุงเทพมหานคร มาตามถนนสายหนองพลับ-หัวหิน เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบริเวณสี่แยกที่ถนนทั้งสองเส้นดังกล่าวตัดกันรถทั้งสองได้เฉี่ยวชนกัน เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันได้รับความเสียหายบริเวณสี่แยกที่เกิดเหตุในทางเดินรถที่จำเลยขับมาเป็นทางโทและก่อนจะถึงสี่แยกมีเครื่องหมายจราจรมีข้อความ “หยุด” ปักอยู่ข้างถนนส่วนในทางเดินรถที่นางสาวธันยาภรณ์ขับมาเป็นทางเอก คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาอ้างว่าคำฟ้องโจทก์ข้อ 3 และเอกสารหมายเลข 6 ท้ายฟ้องเป็นเอกสารที่โจทก์จัดทำขึ้นฝ่ายเดียว ไม่ปรากว่าโจทก์ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ (ลูกค้าเอาประกันภัย) ไปวันเวลาใดเอกสารดังกล่าวจึงไม่เป็นหลักฐานอันก่อให้เกิดการรับช่วงสิทธิของโจทก์ได้ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่อาจทำให้จำเลยเข้าใจได้ว่าการที่โจทก์อ้างมูลหนี้การรับช่วงสิทธิเกิดขึ้นเมื่อใด จึงเป็นคำฟ้องเคลือบคลุม เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่นางสาวธันยาภรณ์ขับ ซึ่งโจทก์ได้แนบเอกสารกรมธรรม์ประกันภัยไว้ท้ายฟ้องตามเอกสารหมายเลข 3 ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวข้อ 3.1 และข้อ 3.5.1 ได้ระบุถึงความรับผิดของโจทก์ว่าหากรถยนต์ที่รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหายบริษัทมีสิทธิจัดการซ่อม และโจทก์ยังได้บรรยายฟ้องต่อไปอีกว่า โจทก์ได้จัดการซ่อมและส่งมอบรถยนต์คันดังกล่าวคืนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้ว ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 บัญญัติว่า ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจำนวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้ชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันไปเมื่อใดก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ.

Share