แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยจับผู้ตายลากเข้าไปในบ้านใช้มีดเชือดคอลึกถึงกระดูกต้นคอ จำเลยใช้เวลานานกว่าจะเชือดคอผู้ตายจนมีบาดแผลยาวรอบคอ ทำให้ผู้ตายส่งเสียงร้องเพราะได้รับความเจ็บปวดทรมานเป็นการใช้วิธีการโหดร้ายในการฆ่าผู้ตาย จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2544 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังนางอารีย์ ไหวจันทร์ ผู้ตาย โดยใช้กำลังประทุษร้าย และใช้อาวุธมีดจี้บริเวณลำคอแล้วลากตัวผู้ตายเข้าไปกักขังไว้ในบ้าน เป็นเหตุให้ผู้ตายปราศจากเสรีภาพในร่างกายและจำเลยโดยมีเจตนาฆ่าและโดยทารุณโหดร้าย ได้ใช้อาวุธมีดฟันที่ศีรษะและหน้าผากและเชือดที่บริเวณลำคอผู้ตายหลายครั้ง เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 310, 91, 33 ริบมีดของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(5), 310 วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังจำคุก 8 ปี ฐานฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้ายให้ประหารชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 (ประกอบมาตรา 52(2)) ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังจำคุก 4 ปี ฐานฆ่าผู้อื่น คงจำคุกตลอดชีวิต เมื่อลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้วไม่อาจนำโทษจำคุกในความผิดกระทงอื่นมารวมได้อีก (ตามมาตรา 91(3))
โจทก์จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 8 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และมาตรา 310 วรรคแรก ฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา ลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังจำคุก 2 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา คงจำคุก 25 ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังจำคุก 1 ปี รวมจำคุกจำเลยมีกำหนด 26 ปีริบมีดของกลาง ข้อหาอื่นให้ยกนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้อาวุธมีดของกลางเชือดคอและฟันผู้ตายจนถึงแก่ความตาย มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่าการกระทำของจำเลยเป็นการฆ่าผู้ตายโดยกระทำทารุณโหดร้ายหรือไม่เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์ซึ่งจำเลยไม่ได้โต้แย้งฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยจับผู้ตายลากเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุแล้วปิดประตูหน้าต่างทั้งหมด เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมาถึงไม่สามารถเข้าไปได้ เจ้าพนักงานตำรวจได้ยินเสียงผู้ตายร้องให้ช่วยเหลือสลับกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด จึงพังประตูบ้านเข้าไปพบผู้ตายถูกจำเลยใช้อาวุธมีดเชือดคอยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ลึกถึงกระดูกต้นคอ ที่ศีรษะมีบาดแผลฉีกขาดยาวประมาณ 6 เซนติเมตร ลึกถึงกระโหลก กับมีบาดแผลบริเวณหน้าผากยาวประมาณ4 เซนติเมตร ซึ่งเมื่อได้พิจารณาถึงบาดแผลดังกล่าวตามภาพถ่ายหมาย จ.7 ประกอบลักษณะมีดของกลางตามภาพถ่ายหมาย จ.13 ภาพที่ 2 แล้ว เห็นว่า จำเลยต้องใช้เวลานานกว่าจะเชือดคอผู้ตายจนมีบาดแผลยาวรอบคอประมาณ 30 เซนติเมตร ขณะดังกล่าวจึงเป็นช่วงเวลาที่ผู้ตายส่งเสียงร้องเพราะได้รับความเจ็บปวดทรมานแสดงให้เห็นชัดว่าจำเลยใช้วิธีการที่โหดร้ายในการฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่น โดยกระทำทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5)คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในปัญหานี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5) ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลย ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงลงโทษจำคุกตลอดชีวิต เมื่อลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้ว จึงไม่อาจนำโทษจำคุกของจำเลยในความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังมารวมได้อีก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8