คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7673/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การชำระหนี้สินหลายรายที่ถึงกำหนดชำระพร้อมกัน ต้องให้รายที่เก่าที่สุดเป็นอันได้ปลดเปลื้องไปก่อน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 328 วรรคสอง แม้ตาม พ.ร.บ.ศุลกากรฯ มาตรา 112 จัตวา วรรคสาม จะบัญญัติให้ถือว่าเงินเพิ่ม เป็นเงินอากร แต่หนี้ค่าอากรเป็นหนี้ที่มีมาก่อนเงินเพิ่ม จึงเป็นหนี้เก่ากว่าหนี้เงินเพิ่ม หนี้ค่าอากรย่อมได้รับการปลดเปลื้อง ไปก่อนหนี้เงินเพิ่ม
เงินเพิ่มตาม พ.ร.บ.ศุลกากรฯ มาตรา 112 จัตวา วรรคหนึ่ง มิใช่ดอกเบี้ยและไม่อาจถือเป็นดอกเบี้ย จึงไม่อาจนำ ป.พ.พ. มาตรา 329 มาใช้บังคับได้ โจทก์จึงไม่อาจนำเงินที่ผู้ค้ำประกันนำมาชำระ มาหักจากหนี้เงินเพิ่มก่อนหนี้ค่าอากรได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าภาษีอากรพร้อมเงินเพิ่มจำนวน ๓,๙๗๖,๒๖๙.๓๗ บาท แก่โจทก์ ให้จำเลย ชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากต้นเงินอากรขาเข้าที่ค้างชำระ ตามใบขนสินค้า ทั้ง ๔๔ ฉบับ นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์จำนวน ๒,๙๘๒,๗๗๖.๕๕ บาท ให้จำเลยใช้ ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๓,๐๐๐ บาท คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ระหว่างวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๙ จำเลยสั่งซื้อและนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อผลิตและส่งออกภายในกำหนด ๑ ปี นับแต่วันนำเข้า โดยแสดงความจำนงจะขอคืนอากรตามพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ มาตรา ๑๙ ทวิ โดยวิธีค้ำประกันรวม ๔๔ ครั้ง จำเลยนำหนังสือค้ำประกันของธนาคารมาวางเป็นประกัน เมื่อครบกำหนด ๑ ปี นับแต่วันที่จำเลยนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร จำเลยนำสินค้ามาผลิตและส่งออกไปเพียงบางส่วนเป็นการผิดเงื่อนไข เจ้าพนักงานของโจทก์ที่ ๑ ได้ประเมินค่าอากรขาเข้าของสินค้าคงเหลือกับเงินเพิ่มและแจ้งให้ผู้ค้ำประกันนำเงินมาชำระ ผู้ค้ำประกันได้ชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันแล้วซึ่งเงินตามสัญญาค้ำประกันแต่ละฉบับมีจำนวนสูงกว่าค่าอากรขาเข้าที่จำเลยต้องชำระ แต่น้อยกว่าค่าอากรและเงินเพิ่มรวมกัน เจ้าพนักงานของโจทก์ที่ ๑ นำเงินไปหักชำระเงินเพิ่มก่อน ส่วนที่เหลือจึงนำไปชำระอากรขาเข้า ซึ่งไม่พอชำระ จำเลยยังคงค้างชำระค่าอากรขาเข้า เงินเพิ่มคำนวณถึงวันฟ้อง ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลรวมจำนวน ๓,๙๗๖,๒๖๙.๓๗ บาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า การที่เจ้าพนักงานของโจทก์ที่ ๑ นำเงินไปหักชำระเงินเพิ่มก่อนชอบหรือไม่ เห็นว่า ในการชำระหนี้สินหลายรายที่ถึงกำหนดชำระพร้อมกันต้องให้รายที่เก่า ที่สุดเป็นอันได้ปลดเปลื้องไปก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๘ วรรคสอง แม้พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๑๑๒ จัตวา วรรคสาม จะบัญญัติให้ถือว่าเงินเพิ่มเป็นเงินอากร แต่หนี้ค่าอากรก็เป็นหนี้ที่มี มาก่อนเงินเพิ่มจึงเป็นหนี้เก่ากว่าหนี้เงินเพิ่ม ดังนี้ หนี้ค่าอากรย่อมได้รับการปลดเปลื้องไปก่อนหนี้เงินเพิ่ม ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า เงินเพิ่มเปรียบเสมือนดอกเบี้ย โจทก์ย่อมหักหนี้เงินเพิ่มก่อนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๙ นั้น เห็นว่า เงินเพิ่มกรณีนี้เกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๑๑๒ จัตวา วรรคหนึ่ง มิใช่ดอกเบี้ยและไม่อาจถือเป็นดอกเบี้ยได้ จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๙ มาบังคับได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางให้นำเงินประกันไปหักค่าอากรที่จำเลยค้างชำระก่อนชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน จำเลยไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้.

Share