คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยืมเงินโจทก์ร่วมแล้วออกเช็คให้ไว้โดยตกลงกันว่า เมื่อเช็คถึงกำหนดให้โจทก์ร่วมไปขึ้นเงินเป็นการชำระหนี้เงินยืม อันเป็นการแสดงเจตนาจะใช้เช็คนั้น เป็นการชำระหนี้มิใช่เพื่อประกันเงินกู้ ดังนี้ เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยย่อมมีความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๑ เวลากลางวัน จำเลยออกเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาวรจักร ฉบับหมายเลข ดี/๒ ๓๗๗๒๖๐ ลงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๑๑ สั่งจ่ายเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท มอบให้นายสวัสดิ์ บุญผึ้ง เพื่อเป็นการชำระหนี้เงินยืม ต่อมาวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๑๑ นายสวัสดิ์ได้นำเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินตามเช็ค ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน อ้างว่าบัญชีผู้สั่งจ่ายปิดแล้ว ทั้งนี้ โดยจำเลยออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น เหตุเกิดที่ตำบลบ้านบาตร อำเภอป้อมปราบ จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓
จำเลยให้การปฏิเสธว่าออกเช็คเพื่อเป็นประกันเงินที่ได้เบิกเกินบัญชี
นายสวัสดิ์ บุญผึ้ง ผู้เสียหายร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ จำคุก ๒ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยออกเช็คเป็นการประกันการกู้ยืม ต่างฝ่ายต่างไม่ได้เจตนาจะให้เช็คนั้นเป็นการชำระหนี้ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นอันฟังได้ว่า เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๑๑ จำเลยได้ออกเช็ครายพิพาทลงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๑๑ สั่งจ่ายเงิน ๑๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ร่วม โดยบัญชีจำเลยปิดแล้วตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๐๙ คงมีข้อต้องวินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยมีเจตนาที่จะให้ใช้เช็คนั้นเป็นการชำระหนี้หรือไม่ จำเลยอ้างว่าจำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์ร่วม เพื่อเป็นประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชี โดยมิได้ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็ค แต่ปรากฏว่าเช็คพิพาทเดิมลงวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๐๘ แล้วมีการขีดฆ่าแก้เป็นวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๑๑ โดยจำเลยเซ็นชื่อกำกับไว้ ทั้งจำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่า ทางปฏิบัติธนาคารกรุงเทพ จำกัด ยอมให้ลูกค้าจ่ายเช็คเป็นประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีได้ นายประภัสร์ คำนวณ ผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาวรจักร พยานจำเลยก็มิได้เบิกความถึงเรื่องนี้ คงเบิกความเพียงว่าการเบิกเงินเกินบัญชีนี้ บางรายต้องทำสัญญาไวักับธนาคาร บางรายก็ไม่ได้ทำสัญญา ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักที่จะให้รับฟัง ข้อเท็จจริงน่าเชื่อตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยยืมเงินโจทก์ร่วม แล้วออกเช็คพิพาทให้ โดยตกลงกันว่าเมื่อเช็คถึงกำหนดให้โจทก์ร่วมไปขึ้นเงินเป็นการชำระหนี้เงินยืม อันเป็นการแสดงเจตนาจะใช้เช็คนั้นเป็นการชำระหนี้ มิใช่เพื่อประกันเงินกู้ คำพิพากษาฎีกาที่ศาลอุทธรณ์อ้าง เป็นเรื่องที่ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยออกเช็คไว้ให้แทนสัญญากู้เงิน โดยคู่กรณีไม่ได้มีเจตนาจะให้ใช้ชำระหนี้ จึงนำมาปรับกับคดีนี้ไม่ได้ ข้อที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ร่วมได้ทราบถึงว่าบัญชีของจำเลยปิดแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๙ ก็มีแต่ตัวจำเลยปากเดียว นายประภัสร์ คำนวณ พยานจำเลยก็ไม่ยืนยันว่าลายมือชื่อย่อว่า “ส” ในบัญชีรายวันของจำเลย เป็นลายมือชื่อโจทก์ร่วม ทั้งพยานปากนี้ยังเบิกความว่าขณะปิดบัญชี จำเลยเข้าใจว่าโจทก์ร่วมจะย้ายไปทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาซอยอารีแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยออกเช็คเพื่อประกันการกู้ยืม โดยไม่มีเจตนาจะให้เช็คนั้นเป็นการชำระหนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share