แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยซื้อที่พิพาทของโจทก์จากการขายทอดตลาดของศาล เป็นที่ดินมือเปล่า และข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ขายที่พิพาทคืนแก่โจทก์แล้ว การที่โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทมาแต่เดิมจนกระทั่งเกิดมีข้อพิพาทกันขึ้นนี้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาท
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์มีที่ดินมี ส.ค.1สามแปลง เมื่อ พ.ศ. 2506 โจทก์แพ้คดีจำเลยที่ 1 และถูกยึดที่ดินทั้งสามแปลงนี้ขายทอดตลาด จำเลยที่ 1 เป็นผู้ซื้อได้แต่ไม่ได้เข้าครอบครองไม่ยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธินิติกรรมสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทขายตามคำสั่งศาล โจทก์คงครอบครองที่นี้ตลอดมา จนวันที่ 3 เมษายน 2507จำเลยที่ 1 ขายที่ดินทั้งสามแปลงคืนให้แก่โจทก์ โจทก์จึงเปลี่ยนเข้าครอบครองโดยสงบเปิดเผยอย่างเจ้าของตลอดมาเป็นเวลา 3 ปี ครั้นวันที่ 7 กรกฎาคม 2509 โจทก์มอบอำนาจให้นายเกียงไปร้องขอให้อำเภอบำเหน็จณรงค์รับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งสองคนสมคบกันปลอมแปลงลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ในใบมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและทำนิติกรรมตามคำสั่งศาลและขอรับรองการทำประโยชน์ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินทั้งสามแปลงเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง หนังสือซื้อขายที่ดินทั้งสามแปลงที่จำเลยที่ 1 ซื้อจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิดีกว่าโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่พิพาทแล้วครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมา โจทก์ขออาศัยอยู่ในห้องแถวของจำเลยที่ 1และรับว่าจะปกครองที่ดินสามแปลงแทนจำเลยอนุญาต ต่อมาจำเลยที่ 1ให้จำเลยที่ 2 ปกครองแทน และมอบอำนาจให้ติดต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอบำเหน็จณรงค์แทน หาได้สมคบกันปลอมแปลงดังโจทก์ฟ้องไม่ จำเลยไม่เคยขายที่ดินสามแปลงให้โจทก์หรือนายเกียง
สำนวนหลัง โจทก์ฟ้องใจความเป็นทำนองเดียวกับคำให้การในคดีแรก และมีข้อความเพิ่มเติมอีกว่าหลังจากให้จำเลยอาศัยอยู่ในห้องแถวแล้ว โจทก์มอบอำนาจให้นายกองปกครองทรัพย์รายนี้แทน และนำรังวัดเพื่อโอนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของแต่จำเลยที่ 1 ได้ไปขอให้เจ้าพนักงานออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินสามแปลงนี้เป็นของจำเลยที่ 1 จึงขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาท
จำเลยให้การว่าโจทก์ขายที่พิพาทคืนให้จำเลย และปล่อยให้จำเลยครอบครองตลอดมาเป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้ว คดีของโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นเรียกนายทัศน์กับนายเกียงว่าโจทก์ เรียกนายกิมเซียนายกองว่าจำเลย และพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกจากที่พิพาท
โจทก์อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่าจำเลยขายที่พิพาทสามแปลงและสิ่งปลูกสร้างที่ซื้อมาจากการขายทอดตลาดของศาลคืนแก่โจทก์หรือไม่ตามข้อนี้โจทก์ไม่มีหลักฐานการซื้อขาย คงมีแต่พยานบุคคลและเอกสารมาประกอบ แต่พยานบุคคลเบิกความแตกต่างขัดกัน พยานเอกสารที่อ้างอิงก็ไม่น่าเชื่อดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้เหตุผลไว้ในคำพิพากษาแล้วไม่เชื่อว่าจำเลยขายทรัพย์สินที่พิพาทคืนแก่โจทก์ การที่โจทก์ครอบครองที่พิพาทมาแต่เดิมจนกระทั่งเกิดมีข้อพิพาทกันขึ้นนี้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองดังที่โจทก์ฎีกา
พิพากษายืน