แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลมีคำสั่งตั้งให้จำเลยที่ 1 และ ท. เป็นผู้จัดการมรดกของ ป. ร่วมกัน และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1726 ก็มิได้มีความหมายว่าการกระทำตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกหลายคนนั้น ต้องร่วมกันทำหรือร่วมกันลงชื่อในนิติกรรมทุกคน ดังนั้น การที่ ท. ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและตึกแถวพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกเพียงผู้เดียวหากได้รับความยินยอมพร้อมใจของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกอีกคนหนึ่งแล้วก็ต้องถือว่าเป็นการจัดการมรดกร่วมกันแล้ว ขณะที่ ท. ทำสัญญาจะขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ทายาทผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของ ป. ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของ ป. ร่วมกับ ท. ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบว่า ท. ทำสัญญาจะขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ นอกจากนี้หลังจาก ป. ถึงแก่กรรมท. ได้ไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนบุตรทุกคนและได้เรียกประชุมทายาท ประกอบทั้งบรรดาทายาทของ ป. ไม่เคยโต้แย้งคัดค้านการที่ ท. ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและตึกแถวพิพาทแก่โจทก์เลยนับตั้งแต่วันทำสัญญาจนกระทั่ง ท. ถึงแก่กรรมเป็นเวลาถึง 6 ปีเศษ ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกร่วมของ ป. ร่วมรู้เห็นและทราบมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า ท.ทำสัญญาจะขายที่ดินและตึกแถวพิพาทแก่โจทก์ ทั้งก่อนจะทำสัญญาดังกล่าว ท. ได้ปรึกษากับบรรดาทายาทแล้วกรณีจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ยินยอมพร้อมใจให้ ท.ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและตึกแถวพิพาทแก่โจทก์ ซึ่งต้องถือว่าเป็นการจัดการมรดกร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1726 แล้ว สัญญาจะซื้อขายที่ดินและตึกแถวพิพาทจึงผูกพันจำเลยจำเลยที่ 1 และทายาทของ ป.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐทรงมณี และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นผู้จัดการมรดกของนางทองใบ ทรงมณี เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2530 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 22761 เนื้อที่ 14 ตารางวาพร้อมตึกแถวสองชั้นเลขที่ 254 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวกับนางทองใบ ทรงมณี มารดาจำเลยทั้งหกในราคา 1,400,000 บาทกำหนดโอนในวันที่ 15 พฤษภาคม 2537 โดยที่ดินและตึกแถวดังกล่าวครึ่งหนึ่งเป็นสินสมรสของนางทองใบ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายประเสริฐซึ่งตกทอดแก่นางทองใบกับจำเลยทั้งหกและนางทองใบได้รับความยินยอมจากจำเลยทั้งหกให้ทำสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐและนางทองใบ ทรงมณี จำเลยที่ 2ที่ 3 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางทองใบ ทรงมณี จำเลยทั้งหกในฐานะทายาทของนายประเสริฐและนางทองใบ ทรงมณี โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 22761 เนื้อที่ 14 ตารางวา พร้อมตึกแถวสองชั้นเลขที่ 254 แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งหกไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งหก ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 40,000 บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ 10,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งหกจะส่งมอบที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งหกให้การว่า ที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายประเสริฐ ทรงมณี โดยมีนางทองใบและจำเลยที่ 1เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน แต่นางทองใบนำที่ดินและตึกแถวพิพาทไปขายให้โจทก์โดยพลการ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 22761เนื้อที่ 14 ตารางวา พร้อมตึกแถวสองชั้น เลขที่ 254 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมรับเงินส่วนที่เหลืออีก 955,000บาท จากโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งหก กับให้จำเลยทั้งหกร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 20,000 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 5,000 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบการครอบครองที่ดินและตึกแถวดังกล่าวแก่โจทก์
จำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งหกเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายประเสริฐและนางทองใบ ทรงมณีนายประเสริฐถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2525มีที่ดินโฉนดเลขที่ 22761 และตึกแถวสองชั้นเลขที่ 254 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดก ศาลได้มีคำสั่งตั้งนางทองใบและจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐ ต่อมาวันที่21 ตุลาคม 2530 นางทองใบได้ทำสัญญาจะขายที่ดินและตึกแถวพิพาทดังกล่าวให้แก่โจทก์ในราคา 1,400,000 บาท โจทก์ผู้จะซื้อชำระราคาให้นางทองใบผู้จะขายแล้วบางส่วน ตกลงชำระราคางวดสุดท้ายวันที่ 15 พฤษภาคม 2537 แต่นางทองใบถึงแก่กรรมเสียก่อนเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2536 ศาลมีคำสั่งตั้งให้จำเลยที่ 1ถึงที่ 3 เป็นผู้จัดการมรดกของนางทองใบ
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งหกมีว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและตึกแถวพิพาทผูกพันจำเลยทั้งหกหรือไม่และมีผลใช้บังคับได้หรือไม่ จำเลยทั้งหกฎีกาว่า เมื่อศาลมีคำสั่งตั้งให้จำเลยที่ 1 และนางทองใบเป็นผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐร่วมกัน นางทองใบคนเดียวไม่มีสิทธิทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์มรดก สัญญาจะซื้อจะขายจึงไม่ผูกพันจำเลยทั้งหก เห็นว่า ที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายประเสริฐทั้งหมด เมื่อศาลมีคำสั่งตั้งให้นางทองใบและจำเลยที่ 1 ทั้งสองคนร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐและในคำสั่งมิได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ของแต่ละคนไว้โดยเฉพาะซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 บัญญัติว่า”ถ้าผู้จัดการมรดกมีหลายคน การทำการตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกนั้นต้องถือเอาเสียงข้างมาก เว้นแต่จะมีข้อกำหนดพินัยกรรมเป็นอย่างอื่นถ้าเสียงเท่ากัน เมื่อผู้มีส่วนได้เสียร้องขอ ก็ให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาด” แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726นี้ก็มิได้มีความหมายว่าการกระทำตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกหลายคนนั้น ต้องร่วมกันทำหรือร่วมกันลงชื่อในนิติกรรมทุกคนดังนั้นการที่นางทองใบทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและตึกแถวพิพาทเพียงผู้เดียว หากได้รับความยินยอมพร้อมใจของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกอีกคนหนึ่งแล้วก็ต้องถือว่าเป็นการจัดการมรดกร่วมกันแล้ว ข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะที่นางทองใบทำสัญญาจะขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์นั้น จำเลยที่ 6 ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในเอกสารดังกล่าวด้วยและจำเลยที่ 4 เบิกความรับกันว่าเคยไปรับเงินค่างวดที่ดินและตึกแถวพิพาทจากโจทก์ จำเลยที่ 4และที่ 6 เป็นทายาทผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของนายประเสริฐทราบดีว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายประเสริฐร่วมกับนางทองใบเชื่อว่าจำเลยที่ 4 และที่ 6 ต้องแจ้งให้จำเลยที่ 1ทราบว่านางทองใบทำสัญญาจะขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์นอกจากนี้หลังจากนายประเสริฐถึงแก่กรรมนางทองใบได้ไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนบุตรทุกคนและได้เรียกประชุมทายาทด้วยประกอบทั้งจำเลยทั้งหกไม่เคยโต้แย้งคัดค้านการที่นางทองใบทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและตึกแถวพิพาทแก่โจทก์เลยนับตั้งแต่วันทำสัญญาจนนางทองใบถึงแก่กรรมเป็นเวลาถึง 6 ปีเศษ ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 6รู้เห็นในการทำสัญญาดังกล่าว พฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกร่วมของนายประเสริฐร่วมรู้เห็นและทราบมาตั้งแต่ต้นแล้วว่านางทองใบทำสัญญาจะขายที่ดินและตึกแถวพิพาทแก่โจทก์ ทั้งน่าเชื่อว่าก่อนจะทำสัญญาดังกล่าวนางทองใบได้ปรึกษากับจำเลยทั้งหกแล้ว ในการเรียกประชุมทายาทกรณีจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ยินยอมพร้อมใจให้นางทองใบมารดาทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและตึกแถวพิพาทแก่โจทก์ซึ่งต้องถือว่าเป็นการจัดการมรดกร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 แล้ว สัญญาจะซื้อขายที่ดินและตึกแถวพิพาทจึงผูกพันจำเลยทั้งหกและมีผลใช้บังคับได้
พิพากษายืน