แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การทำงานของโจทก์ที่ล่าช้าในการส่งรายการฐานะการเงินให้แก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) และปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ กลต. กำหนด เป็นเหตุให้จำเลยต้องถูกเปรียบเทียบปรับนั้นเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นปกติและเป็นข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในปีแรกที่เพิ่งดำเนินการ ต่อมาโจทก์ก็ไม่เคยทำผิดพลาดอีก ข้อผิดพลาดเช่นนี้บริษัทหลักทรัพย์อื่น ๆ ก็เคยถูกเตือนหรือถูกปรับเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกันหรือสูงกว่าอีกทั้งส่วนงานอื่นของจำเลยก็เคยถูก กลต. มีมติให้เปรียบเทียบปรับเช่นกัน การกระทำผิดพลาดของโจทก์จึงมิใช่เป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายและมิใช่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบของจำเลยในกรณีร้ายแรง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้จ้างโจทก์เป็นลูกจ้างตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักกรรมการผู้จัดการ ต่อมาจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ทำให้โจทก์เสียหายเสียชื่อเสียง ขาดรายได้ประจำและต้องตกงานซึ่งในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้โจทก์ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถหางานใหม่ได้โดยได้รับค่าตอบแทนเท่ากับที่เคยได้รับจากจำเลยและเป็นการเสียโอกาสที่จะหางานกับบริษัทจำเลยตามอายุงานที่เหลือ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายจำนวน 7,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยออกหนังสือรับรองการผ่านงานแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ทำงานกับจำเลยในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกรรมการผู้จัดการ มีหน้าที่ดูแลและรับผิดชอบส่วนบัญชีบริษัท ส่วนการเงิน ส่วนธุรการและการพนักงาน และตำแหน่งฝ่ายปฏิบัติกองทุน ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบส่วนบัญชีกองทุน ซึ่งต้องทำรายงานทางบัญชีการเงินต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ตามกฎหมาย ก่อนที่จำเลยจะว่าจ้างโจทก์ทำงานในตำแหน่งดังกล่าวนั้น โจทก์ได้แจ้งแสดงคุณสมบัติว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่จะเข้ามาเป็นลูกจ้างของจำเลยจนทำให้หลงเชื่อ จึงได้ว่าจ้างโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งดังกล่าวและระหว่างที่โจทก์ทำงานกับจำเลยอยู่นั้น โจทก์ไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ที่ตนเองรับผิดชอบให้สมกับที่ได้เคยแจ้งและแสดงคุณสมบัติให้จำเลยทราบก่อนที่จำเลยจะรับเข้าทำงาน หากแต่โจทก์ทำงานในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยหลายครั้งหลายหนกล่าวคือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เคยมีหนังสือแจ้งว่าจำเลยส่งรายงานฐานะการเงินและรายงานรายได้และค่าใช้จ่ายประจำเดือนธันวาคม 2540 ล่าช้าเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้และให้จำเลยไปรับการเปรียบเทียบปรับ นอกจากนี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เคยมีหนังสือแจ้งว่าจำเลยไม่ได้ประกาศมูลค่าหน่วยลงทุนในหนังสือพิมพ์และจำเลยไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดกรณีประกาศมูลค่าทรัพย์สินสุทธิมูลค่าหน่วยลงทุน ราคาขายและราคาซื้อคืนหน่วยลงทุนในหนังสือพิมพ์รายวันผิดพลาดไม่เกินกว่า 1 สตางค์ต่อหน่วยลงทุน และได้กำชับให้จำเลยระมัดระวังและควบคุมดูแลการจัดการลงทุนให้เป็นไปตามกฎหมาย การกระทำดังกล่าวของโจทก์เป็นการกระทำที่ขาดความระมัดระวังและทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งโจทก์ยังไม่สามารถควบคุมดูแลงานภายในส่วนที่ตนเองมีหน้าที่รับผิดชอบตลอดจนไม่สามารถควบคุมดูแลและอบรมพนักงานที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ให้ทำงานในหน้าที่และเข้าใจในงานของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพจนก่อให้เกิดความเสียหายในส่วนงานที่โจทก์มีหน้าที่รับผิดชอบดังกล่าว รวมถึงไม่สามารถประสานงานระหว่างองค์กรของบริษัทจำเลยอยู่เป็นประจำซึ่งจำเลยได้มีการว่ากล่าวตักเตือนโจทก์หลายครั้งหลายหนแต่โจทก์ก็ไม่ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น จนในที่สุดจำเลยจึงมีมติเลิกจ้างโจทก์พร้อมกับได้จ่ายเงินชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 647,472.20 บาท การกระทำของโจทก์จึงเป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างมาก การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นธรรมแล้ว ทั้งศาลแรงงานกลางไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้เนื่องจากการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ออกจากงานเป็นสิทธิของจำเลยที่จะกระทำได้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 อีกทั้งการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องต่อศาลแรงงานโดยไม่ได้ยื่นคำเรียกร้องสิทธิตามฟ้องของโจทก์ต่อพนักงานตรวจแรงงานเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยนั้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 24 มกราคม 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยออกใบสำคัญรับรองการทำงานให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ได้รายงานการกระทำของนางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการของจำเลยต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ กลต. เกี่ยวกับข้อสงสัยของผู้บริหารจำเลยในการแต่งตั้งบุคคลต่าง ๆ เข้ามาทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหรือทำหน้าที่บริหารว่าอาจจะขัดต่อกฎหมาย อันถือได้ว่าโจทก์ได้ทำหน้าที่เพื่อปกป้ององค์กรของจำเลยซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนด้วยการระดมเงินทุนจากประชาชนมีมูลค่าสูงถึง 45,000,000,000 บาท จึงเป็นสิ่งที่โจทก์ชอบที่จะกระทำได้ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวทั้งที่โจทก์มิได้กระทำความผิด จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.2 โดยตำหนิคำเบิกความของพยานโจทก์อ้างว่าศาลแรงงานกลางรับฟังคำพยานโจทก์เป็นคุณต่อโจทก์ วินิจฉัยพยานหลักฐานขัดต่อพยานเอกสารในสำนวน และหยิบยกพยานหลักฐานเพียงบางส่วนมาวินิจฉัย เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ไม่สามารถควบคุมดูแลและอบรมพนักงานผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ให้ทำงานในหน้าที่และเข้าใจในงานของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงไม่สามารถประสานงานระหว่างองค์กรของบริษัทจำเลยอยู่เป็นประจำ และที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.3 ว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ได้รายงานการกระทำของนางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการของจำเลยนั้น ศาลแรงงานกลางรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ซึ่งมีพิรุธ เนื่องจากโจทก์ไม่รายงานทันทีที่เกิดข้อสงสัย ข้อเท็จจริงตามรายงานของโจทก์ไม่เป็นความจริง โจทก์กลั่นแกล้งใส่ร้ายนางโชติกาอันเป็นการทำผิดจรรยาบรรณของโจทก์ และ กลต. ก็ได้วินิจฉัยว่านางโชติกาไม่ได้กระทำผิด ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงขัดต่อพยานหลักฐานในสำนวนและไม่หยิบยกข้อเท็จจริงทั้งหมดขึ้นมาวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นล้วนเป็นอุทธรณ์ที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ 2.1 ว่า พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 เป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อควบคุมป้องกันมิให้บริษัทหลักทรัพย์และผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ประพฤติปฏิบัติสิ่งที่ไม่ชอบไม่ถูกต้อง อันจะเป็นเหตุก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน พระราชบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อมุ่งหมายให้เกิดความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีแก่ประชาชน ซึ่งหากมีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติก็ต้องถือว่าเป็นการกระทำความผิดอย่างร้ายแรงดังนั้น การทำงานของโจทก์ที่เป็นเหตุให้จำเลยต้องถูกเปรียบเทียบปรับตามเอกสารหมาย ล.5, ล.6 และ ล. จึงต้องถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาดบกพร่องอย่างร้ายแรงอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงด้วย และเมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในสำนวนที่ว่าโจทก์เคยเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ระดับสูงอยู่ใน กลต. และการที่จำเลยถูกปรับหลายครั้งหลายหนเนื่องมาจากการทำงานของโจทก์จึงต้องถือว่าโจทก์จงใจที่จะทำให้จำเลยต้องได้รับความเสียหายซึ่งเมื่อพิจารณาจากระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ว่า หากพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยจงใจทำให้บริษัทจำเลยได้รับความเสียหายจำเลยมีสิทธิที่จะเลิกจ้างได้ทันที การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการกระทำที่ชอบแล้วนั้น เรื่องนี้ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่าการทำงานของโจทก์ที่ล่าช้าในการส่งรายการฐานะการเงินให้แก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดกรณีประกาศมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ มูลค่าหน่วยลงทุนราคาขายและราคารับซื้อคืนหน่วยลงทุนในหนังสือพิมพ์รายวันผิดพลาดไม่เกินกว่า 1 สตางค์ต่อหน่วยลงทุน เป็นเหตุให้จำเลยต้องถูกเปรียบเทียบปรับตามเอกสารหมาย ล.5, ล.6 และ ล.8 นั้น เป็นเรื่องไม่ร้ายแรง ซึ่งการกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นปกติและเป็นข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในปีแรกที่เพิ่งดำเนินการ ต่อมาโจทก์ก็ไม่เคยทำผิดพลาดอีก ข้อผิดพลาดเช่นนี้บริษัทหลักทรัพย์อื่น ๆ ก็เคยถูกเตือนหรือถูกปรับเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกันหรือสูงกว่าตามเอกสารหมาย จ.14 อีกทั้งส่วนงานอื่นของจำเลยก็เคยถูก กลต. มีมติให้เปรียบเทียบปรับเช่นกันตามเอกสารหมาย จ.15 เห็นว่า การกระทำผิดพลาดของโจทก์ตามที่ศาลแรงงานกลางฟังมาดังกล่าวถือไม่ได้ว่าโจทก์มีเจตนาให้จำเลยได้รับความเสียหายจึงมิใช่เป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ส่วนการกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยในกรณีร้ายแรงหรือไม่นั้น เมื่อการกระทำผิดพลาดของโจทก์เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นปกติและเป็นการกระทำผิดพลาดที่เกิดขึ้นในปีแรกของการดำเนินการ อีกทั้งข้อผิดพลาดดังกล่าวก็ทำความเสียหายแก่จำเลยไม่มากนัก จึงมิใช่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบของจำเลยในกรณีร้ายแรง อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน