แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยมีเจตนาใช้อาวุธปืนแก๊ปยาวยิงค้างคาวโดยไม่พิจารณาให้ดีว่าบริเวณที่ยิงไปนั้นจะมีผู้เสียหายอยู่หรือไม่ เมื่อกระสุนปืนที่ยิงไปนั้นไม่ถูกค้างคาว แต่กลับไปถูกผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน กรณีเช่นนี้จึงถือว่าจำเลยกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 แม้โจทก์จะมิได้ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้เพราะจำเลยต่อสู้ว่าเป็นการกระทำโดยประมาท จำเลยจึงไม่หลงข้อต่อสู้ ทั้งการแตกต่างระหว่างการกระทำโดยเจตนากับประมาทนั้น กฎหมายมิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 91, 288, 289, 371, 376 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 ประกอบมาตรา 53, 371, 376 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง(ที่ถูก 8 ทวิ วรรคสอง), 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน (ที่ถูกฐานพาอาวุธปืน) เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ฐานยิงปืนโดยใช่เหตุ จำคุก 9 วัน รวมจำคุก 35 ปี 4 เดือน 9 วัน จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 23 ปี 6 เดือน 26 วัน ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและฐานยิงปืนโดยใช่เหตุ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90จำคุก 12 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 8 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จำคุก 8 ปี 16 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ในคืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 20 นาฬิกา ขณะที่เด็กหญิงน้ำฝน รักษา ผู้เสียหายกับนายพอน รักษา และนางจันที รักษา ซึ่งเป็นบิดาและมารดาผู้เสียหายนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่บ้าน จำเลยซึ่งเป็นน้องชายนางจันทีเข้ามาสอบถามนางจันทีเรื่องที่บ้านจำเลยถูกตัดไฟฟ้า นางจันทีตอบว่าไม่ทราบแล้วจำเลยเดินออกไป หลังจากนายพอน นางจันทีและผู้เสียหายรับประทานอาหารเสร็จ นายพอนและผู้เสียหายไปที่ทุ่งนาที่เกิดเหตุห่างจากบ้านประมาณ3 กิโลเมตร เพื่อไปดักหนู ขณะที่ผู้เสียหายเดินตามหลังนายพอนมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ผู้เสียหายรู้สึกเจ็บที่หลังจึงร้องบอกนายพอนว่าถูกยิง นายพอนเข้าไปหาผู้เสียหายใช้ไฟฉายส่องเห็นบริเวณชายโครงด้านซ้ายของผู้เสียหายมีรอยถูกกระสุนปืน 7 รู นายพอนวิ่งไปตามเสียงปืนพร้อมกับส่องไฟฉายเห็นจำเลยถือปืนแก๊ปยาว นายพอนถามจำเลยว่าทำไมจึงกล้ายิง จำเลยตอบว่ายิงค้างคาว ผู้เสียหายมีบาดแผลถูกกระสุนปืนที่หลังหลายรูและไหล่ขวา กระสุนปืนฝังในทะลุเข้าช่องท้องถูกเส้นเลือดไตซ้ายและขั้วของลำไส้เล็ก เลือดคั่งในช่องปอดขวาใช้เวลารักษาประมาณ 1 เดือน ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเอกสารหมาย จ.4 สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนกับความผิดฐานพาอาวุธปืน ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย คู่ความไม่อุทธรณ์ ความผิดดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนายพอนว่า ผู้เสียหายถูกยิงทางด้านหลังขณะที่ผู้เสียหายเดินตามหลังนายพอน นายพอนวิ่งไปตามเสียงปืนเห็นจำเลยถืออาวุธปืนแก๊ปยาวสอบถามจำเลยแล้วรับว่าเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงจริงแต่อ้างว่ายิงค้างคาว ส่วนผู้เสียหายเบิกความว่าขณะเดินตามนายพอนได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัดรู้สึกเจ็บที่หลัง จึงร้องบอกนายพอนว่าถูกยิง เห็นว่า ตามคำเบิกความของนายพอนและผู้เสียหายต่างไม่เห็นว่าจำเลยยิงในลักษณะใด จำเลยเจตนาจ้องเล็งอาวุธปืนมายังผู้เสียหายหรือนายพอนหรือค้างคาวก็ไม่อาจทราบได้แน่ชัดจึงต้องพิจารณาจากพฤติการณ์ต่าง ๆ แห่งคดีประกอบกัน ซึ่งเมื่อได้พิเคราะห์แผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุและภาพถ่ายการนำชี้ที่เกิดเหตุตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 แล้ว จะเห็นว่าบริเวณที่เกิดเหตุเป็นทุ่งนามีต้นกล้วยขึ้นจำนวนมาก ทั้งได้ความจากคำเบิกความของนายพอนว่าในช่วงเวลาเกิดเหตุชาวบ้านละแวกนั้นจะออกไปยิงนกยิงหนูทุกคืน ซึ่งนายพอนและผู้เสียหายก็ออกไปจับหนูด้วย ฉะนั้นการที่จำเลยจะไปจับสัตว์ในบริเวณดังกล่าวย่อมเป็นเรื่องปกติที่ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปกระทำกัน และเมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางจันทีกับจำเลยซึ่งเป็นพี่น้องกันก็ปรากฏว่า บ้านนางจันทีกับบ้านจำเลยอยู่ใกล้กัน จำเลยจะมารับประทานอาหารที่บ้านนางจันทีทุกวันแสดงให้เห็นว่านางจันทีกับจำเลยเป็นพี่น้องที่มีความรักใคร่สนิทสนมกันดี ส่วนนายพอนเบิกความว่า ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย สำหรับผู้เสียหายเบิกความว่า ครอบครัวผู้เสียหายกับจำเลยมีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ตามคำเบิกความดังกล่าวเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่า ทั้งนายพอน นางจันทีและผู้เสียหายต่างมิได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย การที่ในคืนเกิดเหตุจำเลยพูดคุยสอบถามนางจันทีเรื่องไฟฟ้าที่บ้านจำเลยถูกตัดแล้วจำเลยออกจากบ้านนางจันที หลังจากนั้นจึงเกิดเหตุคดีนี้ขึ้น เห็นว่า เหตุเพียงเท่านี้ไม่ถึงกับเป็นเหตุที่ทำให้จำเลยต้องโกรธแค้นนางจันทีมากจนถึงกับต้องไปฆ่าผู้เสียหายซึ่งเป็นบุตรนางจันที และเป็นหลานของจำเลยเอง ประกอบกับหลังเกิดเหตุเพียงเล็กน้อยนายพอนวิ่งไปตามทางเสียงปืนพบจำเลยยืนถืออาวุธปืนอยู่บริเวณกอต้นกล้วยสอบถามจำเลยในขณะนั้น จำเลยอ้างว่ายิงค้างคาวข้ออ้างของจำเลยเกิดขึ้นในทันทีทันใดหลังเกิดเหตุเพียงชั่วครู่ ไม่มีเวลาและโอกาสที่จำเลยจะเสริมแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อใช้เป็นข้อต่อสู้ ทั้งยังปรากฏจากคำเบิกความของนายพอนว่า จำเลยพยายามจะเข้าไปช่วยเหลือผู้เสียหายแต่นายพอนไม่ยินยอม และหลังเกิดเหตุ จำเลยก็ไม่ได้หลบหนีไปไหน แต่กลับแสดงตัวให้นายพอนบิดาของผู้เสียหายเห็น พยานโจทก์นอกจากนี้คงมีแต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนรวมทั้งการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งจำเลยก็นำสืบโต้แย้งว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำร้าย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงยังไม่มีน้ำหนักและเหตุผลเพียงพอที่จะให้รับฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย พฤติการณ์การกระทำต่าง ๆของจำเลยดังวินิจฉัยมาข้างต้น ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยมีเจตนาใช้อาวุธปืนแก๊ปยาวยิงค้างคาวโดยไม่พิจารณาให้ดีว่าบริเวณที่ยิงไปนั้นจะมีผู้เสียหายอยู่หรือไม่เมื่อกระสุนปืนที่ยิงไปนั้นไม่ถูกค้างคาวแต่กลับไปถูกผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน กรณีเช่นนี้จึงถือว่าจำเลยกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังจำเลยย่อมมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 แม้โจทก์จะมิได้ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้เพราะจำเลยต่อสู้ว่าเป็นการกระทำโดยประมาท จำเลยจึงไม่หลงข้อต่อสู้ ทั้งการแตกต่างระหว่างการกระทำโดยเจตนากับประมาทนั้น กฎหมายมิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300และมาตรา 376 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามมาตรา 78 หนึ่งในสาม จำคุก 2 ปีเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จำคุก 2 ปี 16 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3