คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

วันที่ 9 กันยายน 2526 จำเลยขับรถยนต์ของกองทัพเรือโจทก์ไปตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ชนกำแพงเรือนจำทหารเรือ ทำให้รถยนต์และกำแพงเสียหาย โจทก์ตั้งกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่ง กรรมการสอบสวนแล้วมีความเห็นแจ้งให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2527ว่า กรณีไม่สมควรมีผู้หนึ่งผู้ใดต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเพราะมีเหตุสุดวิสัย ตามความเห็นดังกล่าวไม่ปรากฏว่าได้มีการละเมิดหรือมีผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในขณะนั้น โจทก์จึงไม่อาจรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน โจทก์ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังทราบ กระทรวงการคลังเสนอเรื่องให้คณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งซึ่งตั้ง ขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีพิจารณา คณะกรรมการพิจารณาแล้วมีความเห็นเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2528ว่า จำเลยขับรถโดยประมาทต้องรับผิดทางแพ่ง กระทรวงการคลังได้แจ้งเรื่องให้โจทก์ทราบ ถือว่าโจทก์เพิ่งรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนหลังวันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2529 ยังไม่เกิน 1 ปี จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2526 เวลากลางวัน จำเลยได้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน สมอ 43099 ของโจทก์ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ขณะขับมาตามถนนหน้าเรือนจำทหารเรือมุ่งหน้าไปทางเรือนจำทหารเรือกรุงเทพ จำเลยขับโดยความประมาทชนกำแพงเรือนจำทหารเรือกรุงเทพเสียหายคิดเป็นเงิน 1,600 บาท และรถเสียหายคิดเป็นเงิน 42,010 บาท ปรากฏตามสำเนาเอกสารใบประเมินราคาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 และ 2 ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายรวม 43,610บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยได้ขับรถคันหมายเลขทะเบียน สมอ 43099 ด้วยความระมัดระวัง เหตุเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัย เนื่องจากถนนตรงที่เกิดเหตุเกิดยุบตัวลงอย่างรวดเร็วเป็นเหตุให้รถเสียหลักพุ่งชนกำแพงเรือนจำทหารเรือกรุงเทพ ทำให้รถและกำแพงดังกล่าวได้รับความเสียหาย ค่าเสียหายดังกล่าวไม่เกิน10,000 บาท ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมเหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลย ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยและสมควรกำหนดค่าเสียหายให้ 30,000 บาท แต่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อเกินหนึ่งปีนับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448พิพากษายกฟ้อง ให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 30,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิด(9 กันยายน 2526) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดเป็นค่าทนายความ1,200 บาท
โจทก์ และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2526 เวลากลางวัน จำเลยซึ่งมีหน้าที่ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน สมอ 43099 ของโจทก์ได้ขับรถคันดังกล่าวชนกำแพงเรือนจำทหารเรือกรุงเทพของโจทก์ เป็นเหตุให้กำแพงและรถของโจทก์ดังกล่าวได้รับความเสียหาย กำแพงเสียหายคิดเป็นเงิน 1,600บาท และรถเสียหายคิดเป็นเงิน 42,010 บาท ปรากฏตามใบประเมินราคาค่าเสียหายของกำแพงและใบประเมินราคาค่าเสียหายของรถเอกสารหมายป.จ.2 และ ป.จ.3 โจทก์ได้ตั้งกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งกรรมการดังกล่าวสอบสวนแล้วมีความเห็นว่า กรณีไม่สมควรมีผู้หนึ่งผู้ใดรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย เพราะเป็นเหตุสุดวิสัยปรากฏตามผลการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่ง เอกสารหมาย ป.จ.7แต่เนื่องจากรถคันดังกล่าวได้มาจากงบประมาณแผ่นดินจึงเสนอเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงการคลังทราบ กระทรวงการคลังเสนอเรื่องให้คณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งซึ่งตั้งขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีพิจารณา คณะกรรมการดังกล่าวพิจารณาแล้ว มีความเห็นเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2528 ว่าจำเลยขับรถของโจทก์โดยประมาทต้องรับผิดทางแพ่ง กระทรวงการคลังแจ้งเรื่องดังกล่าวให้โจทก์ทราบโจทก์จึงแจ้งให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยไม่ยอมใช้ ปรากฏตามบันทึกข้อความและหนังสือของจำเลยเอกสารหมาย ป.จ.4
จำเลยนำสืบว่า จำเลยขับรถของโจทก์ไปถึงที่เกิดเหตุถนนด้านซ้ายยุบตัวลงทำให้รถเอียงไปทางซ้าย จำเลยห้ามล้อและหมุนพวงมาลัยรถไปทางขวา แต่พวงมาลัยรถหนักไม่สามารถหมุนไปดังกล่าวได้ เป็นเหตุให้มุมซ้ายด้านหน้ารถชนกับมุมเสากำแพงเรือนจำทหารเรือกรุงเทพของโจทก์ รถเสียหายคิดเป็นเงิน 9,000 บาท และกำแพงดังกล่าวเสียหายคิดเป็นเงิน 1,000 บาท ปรากฏตามใบเสนอราคาเอกสารหมาย ล.13และ ล.14 ผู้บัญชาการทหารเรือมอบอำนาจให้ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือสั่งการและทำการแทนได้ ปรากฏตามภาพถ่ายคำสั่งกองทัพเรือเอกสารหมาย ล.1
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 9 กันยายน2526 จำเลยได้รับขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน สมอ 43099 ของโจทก์ชนกำแพงเรือนจำทหารเรือกรุงเทพของโจทก์เป็นเหตุให้กำแพงและรถของโจทก์เสียหาย โจทก์ได้ตั้งกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่ง กรรมการดังกล่าวสอบสวนแล้วมีความเห็นว่า กรณีไม่สมควรมีผู้หนึ่งผู้ใดต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเพราะเป็นเหตุสุดวิสัยโจทก์ได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงการคลังทราบ กระทรวงการคลังเสนอเรื่องให้คณะกรรมการสอบสวนผู้รับผิดทางแพ่งซึ่งตั้งขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีพิจารณาคณะกรรมการดังกล่าวพิจารณาแล้วมีความเห็นเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2528 ว่า จำเลยขับรถโดยประมาทต้องรับผิดทางแพ่งกระทรวงการคลังได้แจ้งเรื่องดังกล่าวให้โจทก์ทราบ โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยไม่ยอมใช้ ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้ขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัยนั้น แม้ในชั้นอุทธรณ์จำเลยเคยยกปัญหาดังกล่าวขึ้นโต้เถียงไว้ในคำแก้อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้ เพราะจำเลยไม่ได้ยกข้อโต้เถียงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ฎีกาของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ได้ความว่ากรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งของโจทก์ได้สอบสวนแล้วมีความเห็นว่า กรณีไม่สมควรมีผู้หนึ่งผู้ใดต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเพราะเป็นเหตุสุดวิสัย โจทก์ทราบความเห็นของกรรมการดังกล่าวเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2527 ปรากฏตามบันทึกข้อความเอกสารหมาย ล.3 เห็นว่า ตามความเห็นของกรรมการดังกล่าวไม่ปรากฏว่าได้มีการละเมิดและมีผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแต่อย่างใด ในขณะนั้นโจทก์จึงไม่อาจรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ โจทก์เพิ่งรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อกระทรวงการคลังแจ้งความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่ง ซึ่งตั้งขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีให้โจทก์ทราบว่าจำเลยขับรถโดยประมาทต้องรับผิดทางแพ่ง หลังวันที่ 21 มีนาคม 2528 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่20 มีนาคม 2529 ยังไม่เกินหนึ่งปีนับแต่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนเงินตามฟ้องหรือไม่ โจทก์อ้างว่า รถโจทก์เสียหายมากถึง 19 รายการ ปรากฏตามเอกสารหมายเลข 3 ท้ายฟ้อง การซ่อมแซมรถขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องใช้เวลาความอุตสาหะเป็นการซ่อมที่ลำบาก การที่ช่างคิดค่าแรง 33,000 บาท เป็นราคาที่เหมาะสมแล้วเห็นว่า โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า การซ่อมแซมรถของโจทก์ต้องใช้เวลาและความอุตสาหะเพียงใด เป็นการซ่อมที่ลำบากอย่างใดเหมาะสมกับค่าแรง 33,000 บาท หรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่พอฟังว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนเงินตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายรวม 30,000 บาท ให้โจทก์นั้นเหมาะสมแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share