แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การว่า ก. ทำหนังสือมอบอำนาจให้ ส. ทำการโอนที่พิพาทให้แก่จำเลยกับ ว.แต่ส. กลับไปโอนที่พิพาทเป็นชื่อของตนเอง ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่า ก. มีเจตนาที่จะโอนสิทธิครอบครองให้จำเลยโดยทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หาได้ให้การว่า ก. มีเจตนาสละสิทธิครอบครองให้จำเลยไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า ก. สละสิทธิครอบครองที่พิพาทให้จำเลยจึงเป็นคนละเรื่องกับที่จำเลยให้การ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 24698 ตำบลหนองบัวอำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างคือบ้านชั้นเดียวสองหลังและห้องแถวไม้สองชั้นเป็นของนางสุภาพสิริยานนท์ จำเลยเป็นหลานนางสุภาพ ได้อาศัยอยู่ในบ้านซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างในที่ดินแปลงดังกล่าว เมื่อนางสุภาพถึงแก่ความตาย นางสิริยา บริบาลบรรพลเขตต์ เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ต่อมาโจทก์ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างรวมทั้งบ้านที่จำเลยอาศัยอยู่จากนางสิริยา โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยพร้อมทั้งบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยจึงขอบังคับให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านของโจทก์
จำเลยให้การว่า เดิมที่พิพาทตามฟ้องเป็นที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) และไม่ใช่ที่ดินของนางสุภาพแต่เป็นของนางแก้ว พรหมประเสริฐ สิ่งปลูกสร้างในที่ดินเป็นของนางแก้วและนางประเพ็ญ สุระมรรคา มารดาจำเลย นางแก้วทำหนังสือมอบอำนาจให้นางสุภาพโอนที่พิพาทให้จำเลยและนายวีระพล สุระมรรคาพี่ชายจำเลย แต่นางสุภาพโอนที่พิพาทมาเป็นของตนเองแล้วได้บอกนางแก้วว่าจะไปออกโฉนดที่พิพาทก่อนแล้วจะโอนให้จำเลยและนายวีระพลในภายหลัง เมื่อออกโฉนดที่พิพาทแล้วนางสุภาพทำหนังสือมอบอำนาจให้นายอนันต์ มาศยคง โอนที่พิพาทให้จำเลยและนายวีระพล แต่ยังไม่ทันได้โอนที่พิพาทนางสุภาพถึงแก่ความตายเสียก่อน หนังสือมอบอำนาจจึงเป็นโมฆะ แต่เจตนาของนางสุภาพต้องการโอนที่พิพาทให้จำเลยและนายวีรพล ที่พิพาทจึงเป็นของจำเลยและนายวีรพล นางสิริยาโอนขายที่พิพาทให้โจทก์โดยเจตนาทุจริต โจทก์ได้ที่พิพาทมาโดยทราบดีว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบจำเลยฟ้องนางสิริยาและโจทก์ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่า เดิมที่พิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ นางสุภาพเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เมื่อนางสุภาพถึงแก่ความตาย นางสิริยาบุตรสาวของนางสุภาพได้เป็นผู้จัดการมรดก นางสิริยาขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่พิพาทแล้ว จำเลยไม่ยอมออก ปัญหามีว่า จำเลยมีสิทธิอยู่ในที่พิพาทหรือไม่ จำเลยฎีกาประการแรกว่า นางแก้วสละสิทธิครอบครองที่พิพาทให้จำเลยแล้ว จำเลยย่อมมีสิทธิครอบครองที่พิพาทเห็นว่า จำเลยให้การว่า นางแก้วทำหนังสือมอบอำนาจให้นางสุภาพทำการโอนที่พิพาทให้แก่จำเลยกับนายวีรพล แต่นางสุภาพกลับไปโอนที่พิพาทเป็นชื่อของตนเอง ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่านางแก้วมีเจตนาที่จะโอนสิทธิครอบครองให้จำเลยโดยทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป หาได้ให้การว่านางแก้วมีเจตนาสละสิทธิครอบครองให้จำเลยไม่ ดังนั้นที่จำเลยฎีกาว่า นางแก้วสละสิทธิครอบครองที่พิพาทให้จำเลย จึงเป็นคนละเรื่องกับที่จำเลยให้การ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่า นางสุภาพได้จดทะเบียนโอนที่พิพาทเป็นของตนขัดต่อเจตนาของนางแก้ว นางสุภาพไม่มีสิทธิในที่พิพาท โจทก์ผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิในที่พิพาทเช่นกันนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่านางแก้วยกที่พิพาทให้นางสุภาพ ที่พิพาทจึงเป็นของนางสุภาพ เมื่อนางสุภาพออกโฉนดที่ดินแล้วถึงแก่ความตาย นางสิริยาผู้จัดการมรดกของนางสุภาพขายที่พิพาทแก่โจทก์ โจทก์จึงมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ต่อไป จำเลยจึงไม่มีสิทธิอยู่ในที่พิพาท
พิพากษายืน