แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าฎีกาโจทก์เป็น การโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ไม่รับฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ว่าโจทก์ได้เปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการ ยึดถือที่ดินพิพาท โดยโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยและทายาทอื่นทราบ แล้วว่าโจทก์จะยึดถือที่ดินพิพาทเพื่อตัวโจทก์เองตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2530 จนถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี แล้ว โจทก์จึง ได้สิทธิครอบครอง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณา ต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 45 แผ่นที่ 2)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทตาม ส.ค. 1เลขที่ 166 เป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่พิพาทต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 42)
ทนายโจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 43)
คำสั่ง
ฎีกาโจทก์ ที่ว่า เมื่อจำเลยขอออกหนังสือรับรองการ ทำประโยชน์ในที่พิพาท โจทก์คัดค้านว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองถือได้ว่า โจทก์ได้แจ้งถึงการเปลี่ยนแปลงลักษณะแห่งการ ยึดถือที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 แล้วหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นต้องรับเป็นฎีกานั้น เห็นว่า ปัญหาข้อนี้มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 249 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ