แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ย่อยาว
โจทย์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พงศ. ๒๔๖๐ จำเลยได้ทำสัญญาขายเข้าสารให้แก่โจทย์เปนจำนวน ๘๐๐๐ กระสอบ น้ำหนักกระสอบละ ๑ หาบ ๘๐ ชั่ง ราคาหาบละ ๗ บาท ๓๐ สตางค์ กำหดนส่งกันเปน ๔ งวด คือ ในเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๖๐ และเดือนเมษายน พฤษภาคม มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๐ งวดละ ๒๐๐๐ กระสอบ จำเลยทำผิดสัญญาไม่ส่งเข้าให้แก่โจทย์ ทำให้โจทย์ได้รับความเสียหาย คือ งวดที่ ๑ เปนเงิน ๙๒๓๔ บาท งวดที่ ๒ เปนเงิน ๑๐๘๔๔ บาท งวดที่ ๓ ที่ ๔ อีกงวดละ ๑๐๔๘๔ บาท รวมเปนเงิน ๔๔๐๔๖ บาท โจทย์จึงฟ้องเรียกจำนวนนี้เปนค่าเสียหาย แลภายหลังโจทย์ยื่นคำร้องเพิ่มเติมขอเรียกดอกเบี้ยด้วย ฯ
จำเลยยื่นคำให้การรับได้ทำสัญญาขายเข้าสารให้โจทย์ และไม่ได้ส่งเข้าสารให้โจทย์ตามสัญญาจริง แต่จำเลยคัดค้านว่าโจทย์ไม่ได้เสียหายดังฟ้อง โจทย์ไม่มีอำนาจจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยตามกฎหมาย ฯ
ครั้นถึงวันพิจารณา จำเลยแถลงการต่อศาลขอแก้คำให้การว่าจำเลยมีเข้าสารส่งให้โจทย์ตามสัญญา แต่เข้าสารนั้นอยู่ที่โรงสีความง่วงหลีซึ่งเปนผู้ขายเข้าสารให้จำเลยอีกต่อ ๑ ถึงกำหนดสัญญาโจทย์ไม่ไปรับเอาเอง นอกจากนี้จำเลยคงถือตามคำให้การเดิม ฯ
โจทย์จำเลยได้ระบุอ้างพยาน เพื่อสืบตามประเด็นข้อหาและข้อต่อสู้ ครั้นเมื่อศาลแพ่งสืบพยานโจทย์เกือบหมดแล้ว จำเลยกลับยื่นคำร้องขออ้างพยานเพิ่มเติม โดยแถลงข้อเท็จจริงตั้งประเด็นข้อต่อสู้ขึ้นใหม่ ว่าโจทย์ได้ทำสัญญาเอาเข้าสารรายนี้ขายให้กับญี่ห้อจิ๊นเสง และญี่ห้อจิ๊นเสงทำสัญญาขายให้ญี่ห้อกวางง่วนหลีเจ้าของเดิมอีกต่อ ๑ แล้ว สัญญาระหว่างโจทย์ จำเลยเปนอันเสร็จเด็ดขาดเลิกกัน ศาลแพ่งไม่ยอมให้จำเลยอ้างพยานเพิ่มเติมตามที่ร้องขอ โดยอ้างว่าจำเลยพึ่งขอเมื่อสืบพยานโจทย์แล้ว อนึ่งในเรื่องที่จำเลยอ้างว่าสัญญาเลิกกันนี้ จำเลยได้ยื่นฟ้องขอให้ทำลาย ฤาเลิกสัญญาเปนคดีอีกสำนวน ๑ แต่คดีส่วนนั้นศาลแพ่ง และศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องของจำเลย คดีถึงที่สุดไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกานี้ ฯ
เมื่อได้พิจารณาสืบพยานตามที่คู่ความอ้างไว้เดิมเสร็จสำนวนแล้วศาลแพ่งพิพากษาว่า จำเลยไม่ได้เปนผู้ผิดสัญญาจริง แต่เห็นว่าการกำหนดค่าเสียหายให้โจทย์ไม่ควรจะถือเอาผลที่คิด ฤาหวังว่าควรจะได้ ซึ่งยังไม่แน่นอนนั้นมาเปนเกณฑ์ และเห็นว่าควรกำหนดค่าเสียหายให้โจทย์ตามที่ศาลจะเห็นสมควร ซึ่งศาลแพ่งกำหนดให้ ๕๐๐๐ บาท และพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวนนี้ให้โจทย์ พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมและค่าทนาย ๒๕๐ บาท ฯ
โจทย์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์กรุงเทพฯ พิพากษาว่าการกำหนดค่าเสียหายในเรื่องสัญญาการค้าขาย ถ้าสินค้านั้นเปนสินค้าที่มีขายในท้องตลาด ค่าเสียหายซึ่งเปนข้อสันนิษฐานในเบื้องต้น คือ ราคาที่ผิดกัน ฤาราคาที่หักทอนกันแล้ว ระหว่างราคาในสัญญาราคาในตลาด ณะเวลาซึ่งผิดสัญญา ศาลอุทธรณ์จึงได้ตั้งเกณฑ์เอาราคาเข้าสารที่ซื้อขายกันในตลาดในเดือนมีนาคม เมษายน พฤษภาคม และ มิถุนายน ตามที่ปรากฎจากคำให้การพยานโจทย์หักทอนกับราคาในสัญญา คิดคำนวณได้ค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องใช้ให้โจทย์รวมเปนเงิน ๓๖๕๗๖ บาท พิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวนนี้ให้โจทย์ พร้อมทั้งค่าธรรมเนียม และค่าทนายชั้นศาลอุทธรณ์ ๕๐๐ บาท ฯ
จำเลยฝ่ายเดียวทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา และยื่นคำร้องเพิ่มเติมรวมใจความในฎีกา และคำร้องว่า (๑) ขอให้สืบพยานของจำเลย ตามประเด็นที่ได้ร้องขอเพิ่มเติมต่อศาลล่าง (๒) จำเลยไม่ต้องรับผิดฐานในค่าเสียหาย เพราะเหตุว่าโจทย์ได้ทำสัญญาขายเข้าให้ญี่ห้อจิ๊นเสงและญี่ห้อจิ๊นเสงได้ขายคืนให้โรงสีกวางง่วนหลีเจ้าของเดิมแล้ว สัญญาระหว่างโจทย์ จำเลยเปนอันเลิกกัน (๓) ฤาถ้าจำเลยจะต้องใช้ค่าเสียหายแล้ว จำนวนเงินค่าเสียหายนั้นก็คือผลกำไรที่โจทย์จะได้จากสัญญาที่ขายเข้าให้ญี่ห้อจิ๊นเสง คือโจทย์รับซื้อเข้าจากจำเลยราคาหาบละ ๗ บาท ๓๐ สตางค์ โจทย์ขายให้ญี่ห้อจิ๊นเสงหาบละ ๗ บาท ๕๐ สตางค์ โจทย์คงได้กำไรหาบละ ๑๙ สตางค์ รวมค่าเสียหายของโจทย์คิดเปนเงิน ๒๗๓๖ บาทเท่านั้น ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปฤกษาคดีนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าโจทย์ จำเลยได้มีสัญญาต่อกัน และจำเลยไม่มีเข้าส่งให้โจทย์ตามสัญญานั้นเปนอันไม่มีปัญหา เพราะพยานโจทย์และพยานร่วมเบิกความแน่นอนสมโจทย์และจำเลยไม่มีพยานหักล้าง ทั้งในชั้นนี้จำเลยก็มิได้ยืนยันค้านว่าจำเลยมีเข้าจะส่งให้โจทย์ดังที่จำเลยแถลงแก้ คำให้การจำเลยคงเถี่ยงเลียงอยู่เพียงว่า โจทย์ได้ขายเข้ารายนี้วนไปจนถึงโรงสีกวางง่วนหลีรับซื้อกลับคือ จำเลยจึงไม่ต้องส่งเข้าให้โจทย์ ความข้อนี้รวมอยู่ในคำเถียงในฎีกาของจำเลยดังกล่าวข้างบน ซึ่งจะได้พิจารณาต่อไปนี้ คือ ในข้อเถียงประการที่ ๑ และ ๒ ที่จำเลยร้องขอสืบพยานเพิ่มเติมและอ้างว่าสัญญาเลิกกันแล้วนั้น ความ ๒ ข้อนี้วินิจฉัยรวมกันไปได้ กรรมการศาลฎีกาเห็นว่าไม่เปนการสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยสืบพยานดังที่ศาลแพ่งได้สั่งไว้โดยถูกต้อง เพราะเหตุว่าจำเลยพึ่งร้องขอเมื่อสืบพยานโจทย์แล้ว และข้อเท็จจริงที่จำเลยจะขอสืบก็ไม่อยู่ในประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลย เปนประเด็นที่จำเลยตั้งขึ้นใหม่ และอีกประการ ๑ ถึงแม้จะสืบได้ความจริงดังจำเลยอ้างก็ไม่เห็นทางที่จะเปนประโยชน์แก่คดีของจำเลยได้อย่างไร เพราะเหตุว่าแม้โจทย์จะได้ทำสัญญาขายเข้าที่ซื้อจากจำเลยให้แก่ญี่ห้อจิ๊นเสง ก็เปนสัญญาของโจทย์อีกส่วน ๑ ต่างหากไม่ทำให้สัญญาระหว่างโจทย์ จำเลยเลิกกันไปได้ ถ้าหากว่าเปนการโอนอำนาจในสัญญาแก่กันโดยตกลงกันทุกฝ่ายแล้ว ยังจะพอจะเห็นทางเปนประโยชน์แก่จำเลยอยู่บ้าง แต่จำเลยก้มิได้อ้างว่าเปนดังนั้น ด้วยเหตุผลเหล่านี้กรรมการศาลฎีกาจึงเห็นว่าจำเลยต้องรับผิดชอบต่อโจทย์ตามสัญญาของจำเลย ข้อที่จำเลยเถียงว่าสัญญาเลิกดังนั้นฟังขึ้น ข้อฎีกาของจำเลยในประการที่ ๑ และที่ ๒ จึงเปนอันตกไป ฯ
ส่วนข้อเถียงประการที่ ๓ เรื่องการกำหนดค่าเสียหายนั้นกรรมการศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์ได้วางเกณฑ์เอาราคาเข้าสารที่ซื้อขายกันในตลาดในเวลาที่ถึงกำหนดควรส่งเข้าตามสัญญาขึ้นตั้งแล้วหักราคาที่จำเลยตกลงขายเข้าให้โจทย์ เหลือนั้นคิดให้เปนค่าเสียหาย ดังนี้ เปนหลักที่ชอบด้วยยุติธรรม และกฎหมายในเรื่องผิดสัญญาซื้อขายของซึ่งมีกำหนดส่งของกันแน่นอน และเปนหลักที่ศาลฎีกาได้ตัดสินมาแล้ว ดังปรากฎในคำพิพากษาที่ ๑๔๐๓/๒๔๖๒ แต่ในคดีนี้จำเลยเถียงต่อไปนี้ โจทย์ได้ตกลงขายเข้าสารรายนี้ต่อไปให้แก่ญี่ห้อจิ๊นเสงโดยราคาสูงกว่าราคาที่จำเลยขายให้โจทย์หาบละ ๑๙ สตางค์เท่านั้น อย่างมากที่สุดโจทย์ควรได้ค่าเสียหายเพียงเท่านี้ และไม่ควรเอาราคาตลาดมาเทียบ ข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างว่าเข้ารายที่โจทย์ขายให้ญี่ห้อจิ๊นเสงเปนเข้ารายเดียวกับที่ซื้อจากจำเลยนั้น โจทย์ปฏิเสธแลนำพยานสืบว่าไม่เปนจริงดังจำเลยกล่าว ส่วนพยานจำเลยมีนายโคอิดเยี้ยนเบิกความโดยพยานเข้าใจเอาเองว่าเอนเข้ารายเดียวกัน ดังนี้ ถ้าจะวินิจฉัยข้อเท็จจริงพยานจำเลยก็ไม่พอจะฟังว่าสมคำอ้างของจำเลยได้ แต่ในข้อกฎหมายกรรมการศาลฎีกาก็เห็นว่าข้อเถียงของจำเลยนั้นเปนข้อเถียงที่ไม่มีหลัก และไม่ควรฟังตามกฎหมายเพราะโจทย์จะไปทำสัญญากับใครอย่างไรนั้นไม่เกี่ยวกับสัญญาระหว่างจำเลยกับโจทย์ เช่นถ้าโจทย์ไปทำสัญญาขายให้ผู้อื่นสูงกว่าราคาในตลาด จำเลยก็คงไม่ต้องให้ค่าเสียหายแก่โจทย์ตามราคาที่โจทย์ขาย เพราะจำเลยไม่รู้เห็นเกี่ยวข้องด้วย และอีกประการ ๑ เมื่อจำเลยไม่ส่งเข้าให้โจทย์ ๆ ไม่มีเข้าส่งให้แก่ผู้ซื้อจากโจทย์ต่อไป โจทย์ก็อาจจะต้องรับผิดชอบต่อผู้ซื้อตามราคาเข้าในตลาดอีก เพราะฉนั้นจึงเห็นว่าข้อเถียงของจำเลยในประการที่ ๓ ฟังไม่ได้ทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย และเห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์คิดค่าเสียหายให้โจทย์เทียบราคาเข้าในสัญญากับราคาในตลาดคำณวนเสร็จเปนค่าเสียหายรวม ๓๖๕๗๖ บาทนั้นถูกต้องแล้วฎีกาจำเลยไม่มีเหตุผลที่จะชนะคดีได้ ฯ
จึงพร้อมกันพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาของจำเลยเสีย ให้จำเลยเสียค่าทนายชั้นฎีกาแทนโจทย์ ๖๐๐ บาท ฯ
วันที่ ๗ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓