คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1074/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หากจำเลยกระทำความผิดลงในขณะที่จำเลยเป็นคนมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน แต่จำเลยก็ยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้างแล้ว ศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๐๑ เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยบังอาจมีอาวุธปืนรีวออเวอร์ขนาด ๓๒.๒๐ ใช้ยิงได้ ๑ กระบอก กระสุน ๖ นัด ไว้ในความครอบครองไม่รับอนุญาต และบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้ตาย ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายซุ่ยเส็ง นายไวหยี่ นางสาวจรุงใจ ถึงแก่ความตาย นางสาวยาใจถึงบาดเจ็บ ทั้งนี้ โดยเจตนาฆ่า ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามรตรา ๒๘๘,๒๙๕,๓๖๔,๓๖๕,๘๐ พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๗,๗๒ ริบของกลาง
จำเลยให้การว่า ได้กระทำผิดตามฟ้องจริง แต่มิได้มีเจตนากระทำผิด ซึ่งในขณะนั้นจำเลยไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะจิตบกพร่อง โรคจิตฟั่นเฟือน ทั้งก่อนจำเลยกระทำผิด จำเลยได้ถูกสุนัขบ้ากัด และเสพสุรามึนเมาจนครองสติไม่อยู่ จึงไม่ต้องรับโทษ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยกระทำผิดขณะรู้สึกผิดชอบ ทำกับผู้ตายและผู้เสียหายถึง ๔ คน รุนแรงผิดปกติเพราะเมาสุรา พิพากษาว่าผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘,๒๙๕,๓๖๕,๘๐ พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๗,๗๒ ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙-๑ คือ มาตรา ๒๘๘ ให้ประหารชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การวินิจฉัย ลดให้กึ่งตามมาตรา ๗๘ คงจำคุกตลอดชีวิต ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยเป็นโรคจิตแน่ ฟังพฤติการณ์ก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ หลังเกิดเหตุประกอบกันแล้ว แสดงให้เห็นว่าจำเลยเป็นโรคจิตขณะทำผิด ไม่สามารถจะบังคับตนเองได้ เป็นไปตามความคลุ้มคลั่งแห่งจิตขณะหนึ่ง จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยพ้นข้อหาไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๕ นอกจากนี้แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย
ศาลฎีกาพิจารณาพยานโจทก์จำเลยแล้ว ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยมีอาการผิดคนธรรมดา เมื่อจำเลยคลุ้มคลั่ง และเมื่อคลุ้มคลั่งขึ้นมาชอบส่งเสียงเอะอะ ทำลายสิ่งของ ทุบตีผู้คน อาการที่แสดงออกอย่างนี้จะเกิดมีขึ้นเดือนละ ๓-๔ ครั้ง แต่ตอนที่ไม่คลุ้มคลั่งก็เป็นคนธรรมดา ส่วนอาการของจำเลยในขณะเกิดเหตุไม่มีแพทย์คนใดมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยมีสติฟั่นเฟือนไม่รู้สึกผิดชอบ แม้แต่ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดจำเลยก็ไม่มีใครเห็นจำเลยมีอาการคลุ้มคลั่งอย่างใด ก่อนหน้าจำเลยจะฉวยปืนเดินไปยิงผู้ตายในบริเวณบ้าน ก็ปรากฎว่าจำเลยดื่มสุราแม่โขงอยู่ภายในบ้านจำเลยหมดไปร่วมครึ่งขวด เกิดมีเสียงสุนัขของผู้ตายเห่าและตะกายรั้วสังกะสีบ้านจำเลย ๆ ไม่พอใจจึงร้องตะโกนบอกให้ทางบ้านผู้ตายห้ามสุนัข เมื่อผู้นายร้องตอบมาว่าให้ไปห้ามเอง จำเลยไม่พอใจจึงถือปืนเดิมเข้าไปในบ้านผู้ตาย พูดถามว่าจะดีกันหรือโกรธกัน ผู้ตายตอบว่า จะโกรธกันก็ได้ จะดีกันก็ได้ จำเลยจึงยิงผู้ตายทุกคนในระยะติด ๆ กัน เมื่อยิงแล้วจำเลยก็หลบหนีไป ต่อวันรุ่งขึ้นตอนเย็นตำรวจจึงจับจำเลยได้ ไม่ปรากฎว่าจำเลยเป็นบ้าอย่างไร นอกจากแสดงอาการเสียใจ ขณะสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพโดยสมัครใจและเล่าพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียดต่อมาวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๐๑ โจทก์จึงฟ้องจำเลย ครั้นวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ ทางเรือนจำแจ้งให้ศาลทราบว่า จำเลยป่วยเป็นโรคริดสีดวงทวาร และโรคจิต ศาลจึงสั่งให้ส่งตัวจำเลยไปให้แพทย์ตรวจ แพทย์ส่ง+การวินิจฉัยโรคลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๐๒ มายังศาลว่า จำเลยเป็นโรคจิตประเภท Sohizofhe+nia RJ. ไม่สามารถรู้ผิดชอบเช่นคนธรรมดา ศาลอาญาจึงสั่งให้จำหน่ายคดีเสียชั่วคราว ในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๐๒ จนกระทั่งวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๐๑ ทางโรงพยาบาลจึงได้แจ้งว่า จำเลยมีอาการดีพอจะต่อสู้คดีได้แล้ว ศาลจึงได้ดำเนินการพิจารณาต่อไปจนเสร็จสำนวน
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำของแพทย์ผู้ตรวจอาการจำเลยก็ไม่สามารถวิจัยและยืนยันได้ว่าจำเลยเป็นโรคจิตเภทมานานเท่าใด เป็นครั้งหนึ่ง ๆ นานเท่าใด การยิงคนแล้วยกมือ ไม่ยืนยันว่าเป็นโรคจิต เพียงแต่คิดว่าน่าจะเป็น การที่จำเลยทำงานที่โรงงานยกสูบออกตรวจตลาดได้ แสดงว่ายังไม่เป็นโรคนี้ จริงอยู่การที่จำเลยยิงไม่เลือกหน้าเพียงสาเหตุที่สุนัขทางบ้านผู้ตายเห่าตะกายรั้วประกอบกับได้รับคำตอบจากผู้ตายเป็นเชิงยั่วยุประสาทของจำเลยซึ่งไม่ปกติอยู่แล้วว่า จะโกรธกันก็ได้ จะดีกันก็ได้ จำเลยก็ยิงผู้ตาย จะว่าจำเลยเป็นคนมีสติเป็นปกติเสมือนคนธรรมดาย่อมไม่ได้ แต่จะถึงกับเป็นคนวิกลจริตไม่รู้ผิดชอบในการกระทำเสียเลย ก็ย่อมไม่ได้เช่นกัน เพราะการที่จำเลยดื่มสุราแม่โขงไปแล้วร่วมครึ่งขวดนั้น แม้แต่คนปกติก็อาจกลายเป็นคนไม่ปกติไปได้ด้วยพิษของสุรา ไฉนจำเลยซึ่งเป็นคนเคยมีอาการวิกลจริตมาก่อน และชอบดื่มสุราถึงขนาดเมาเอะอะไม่ได้รับความกระทบกระเทือนจากน้ำสุราที่ดื่มเข้าไปมากมายเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่น่าสงสัยว่า ทำไมจำเลยจะกระทำรุนแรงเช่นนั้นไม่ได้ เมื่อจำเลยทำผิดแล้ว รู้สึกคิดหลบหนีเอาตัวรอดจากการถูกจับกุม เมื่อถูกจับแล้วจำเลยก็ให้การรับสารภาพผิด โดยเล่าเหตุการณ์ได้อย่างละเอียด จึงน่าเชื่อว่าขณะจำเลยกระทำผิด จำเลยยังรู้สึกผิดชอบอยู่บ้าง
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อคำนึงถึงสุขภาพ ประวัติความเป็นมาของจำเลยก่อนเกิดเหตุและเมื่อเกิดเหตุแล้วในระหว่างคดี ปรากฎตามพยานหลักฐานโดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยเคยมีอาการวิกลจริตถึงขนาดคลุ้มคลั่นกระทำอะไรลงไปโดยไม่รู้สึกผิดชอบ เช่น ดุด่าเฆี่ยนตีหลาน ทำลายสิ่งของเสียหายถึงกับต้องจับจำเลยมัด ประกอบกับปู่และบิดาของจำเลยก็เคยเป็นบ้า เมื่อจำเลยแสดงอาการดังกล่าวนี้ขึ้นเมื่อใด ทางมารดาของจำเลยก็ได้นำตัวไปให้แพทย์เยียวยารักษา แต่แพทย์ก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และเมื่อจำเลยมีอาการปกติเหมือนคนธรรมดา ไปทำงานตามหน้าที่ของจำเลยที่โรงงานยาสูบในแผนกเดินตลาดหาซื้อใบยาสูบได้ และอยู่กับภรรยาได้อย่างปกติ แต่เมื่อโรคเดิมกำเริบก็ต้องถูกส่งเข้ารับการรักษายังโรงพยาบาลโรคจิตดังที่จำเลยได้เคยถูกศาลอาญาส่งตัวไปให้แพทย์ทำการรักษาอยู่ร่วมปีเศษจึงหายกลับมาสู้คดีได้ต่อไป ดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยกระทำความผิดนี้ลงไปในขณะจำเลยเป็นคนมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน แต่จำเลยก็ยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้างตามมาตรา ๖๕ วรรคท้ายแห่งประมวลกฎหมายอาญา สมควรกรุณาจำเลย
จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๖๕ วรรคท้าย มีกำหนด ๑๐ ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา ๗๘ คงจำคุก ๕ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share