แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ย่อยาว
คดีนี้โจทย์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันลักระบือของนายด้วงไป ๑ ตัวราคา ๕๖ บาท เจ้าทรัพย์ตามไปทันจำเลยละทิ้งกระบือไว้แล้ววิ่งหนีไป ได้กระบือคืนมาแล้ว ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ ฯ
นายเอี่ยมจำเลยให้การปฏิเสธข้อหา อ้างฐานที่อยู่ แต่นายชื้นจำเลยนั้นเปนใบ้พูดไม่ได้ ทั้งหูก็หนวกเรียกไม่ได้ยินจะถามเปนคำให้การก็ไม่ได้ ฯ
ศาลจังหวัดไต่สวนได้ความว่านายชื้นเปนคนใบ้แลหูหนวกมาแต่กำเหนิดทั้ง ๒ อย่าง ครั้งวันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๒ ศาลจังหวัดทำคำสั่งว่า เมื่อนายชื้นจำเลยเปนคนใบ้แลหูหนวกมาแต่กำเหนิดแล้ว ตามหลักกฎหมายจะพิจารณาคดีส่วนตัว นายชื้นจำเลยไปไม่ได้ แม้ที่สุดพยานจะให้การอย่างไรนายชื้นก็ไม่สามารถจะเข้าใจได้โดยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ในเบื้องต้นต้องสันนิษฐานว่าเท่ากับนายชื้นจำเลยเปนคนวิกลจริตจึงสั่งให้โจทย์ถอนชื่อนายชื้นออกเสียจากเปนจำเลยภายใน ๑๕ วันถ้าโจทย์ไม่ยอมถอนก็ต้องงดคดีส่วนตัวนายชื้น แล้วปล่อยนตัวนายชื้นไปไม่เกี่ยวกับคดีนี้ ส่วนตัวนายเอี่ยวจำเลยนั้นคงพิจารณาต่อไป ฝ่ายโจทย์ไม่ยอมถอน อุทธรณคำสั่งศาลจังหวัดในข้อที่ให้งดคดีส่วนตัวนายชื้นจำเลยเสียนั้น ฯ
ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษเห็นว่า ศาลจังหวัดได้อ่านคำสั่งนั้นให้โจทย์ฟังตั้งแต่วันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๒ โจทย์มายื่นฟ้องอุทธรณเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๒ เกินกำหนด ๑๕ วันไม่เปนองค์อุทธรณ จึงยกอุทธรณโจทย์ที่เกินกำหนดนั้นเสีย ฯ
โจทย์ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ประชุมปฤกษาคดีนี้ตลอดแล้ว เห็นว่าในเรื่องนี้โจทย์จะนับกำหนดอายุความอุทธรณเอาเองตามชอบใจนั้นมิได้ เพราะศาลจังหวัดได้สั่งเปนเด็ดขาดตั้งแต่วันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๒ นั้นแล้ว เมื่อโจทย์ไม่ยื่นอุทธรณในกำหนดปล่อยไว้จนคดีขาดอายุอุทธรณซึ่งไม่เปนอุทธรณได้แล้ว ฎีกาโจทย์ฉบับนี้ก็ต้องตกไปตามกัน เพราะฉนั้นให้ยกฎีกาฉบัพนี้เสียไม่ต้องวินิจฉัยต่อไป ฯ
วันที่ ๒ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓