คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 163/2463

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ย่อยาว

คดีนี้ได้ความว่า โจทย์นำเจ้าพนักงานกองหมายยึดเรือนฝากระดานไม้สัก ๒ ชั้น ๕ ห้อง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธวงศ์วรเดช ว่าเปนของหลวงอภัยพิทักษ์ผู้แพ้คดีรายประกันนางเพิ่ม ฯ
พระยาภาณุพันธวงศ์วรเดชเจ้ากรมยื่นคำร้องขัดขวางว่าเรือนหลังที่โจทย์ยึดนี้ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดชได้ตรงซื้อไว้จากหลวงอภัยพิทักษ์ ขอให้ศาลถอนการยึด ฯ
ศาลแพ่ไต่สวนแล้วลงความเห็นว่า ศาลได้รับเรือนรายนี้จากหลวงอภัยพิทักษ์ไว้เปนประกัน ก่อนหลวงอภัยพิทักษ์ขายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธวงศ์วรเดช โจทย์จึงมีอำนาจยึดเรือนรายนี้ได้ ให้ยกคำร้องของพระยาภาณุพันธุวงศ์ ฯลฯ เสีย ฯ
พระยาภาณุพันธวงศ์ ฯลฯ อุทธรณ ฯ
ศาลอุทธรณกรุงเทพ ฯ พิจารณาแล้วพิพากษาคดีว่า ตามสำนวนได้ความว่าหลวงอภัยพิทักษ์ผู้เอาเรือนมาประกันนางเพิ่มได้ทำยอมใช้เงินให้แก่โจทย์แล้ว เรื่องเรือนที่หลวงอภัยพิทักษ์เอามาทำสัญญาประกันไว้จึงเปนอันต้องเลิกไปเอง หลวงอภัยพิทักษ์มีอำนาจขายเรือนนั้นได้ จึงพิพากษาให้ยกคำสั่งศาลแพ่งแลสั่งให้ถอนการยึดทรัพย์ คืนเรือนให้แก่ผู้ร้องไป ฯ
โจทย์ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา ฯ
ได้ความตามคำทนายผู้ร้องขัดทรัพย์กับทนายโจทย์รับรองถูกต้องกันในการพิจารณาคดีขั้นฎีกาว่า เรือนที่โจทย์นำยึดนี้ได้ถูกเพลิงไหม้หมดสิ้นไปแล้ว ทนายโจทย์แถลงคดีอีกว่า ขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยคดีตามท้องสำนวนต่อไป แลขอให้เรียกเอาราคาเรือนเปนค่าเสียหาย เพราะว่าการที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ร้องขัดขวางเรือนไว้ทำให้เนิ่นช้า เรือนจึงได้ถูกไฟไหม้ ถ้ามิฉนั้นแล้วโจทย์คงได้เรือนไปขายได้เงินเสียก่อนเกิดไปไหม้แล้ว ฝ่ายทนายผู้ร้องขัดขางขอให้ศาลฎีกาพิพากษาคดีดังคำตัดสินของศาลอุทธรณกรุงเทพ ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนแลฟังคารมทนายทั้ง ๒ ฝ่ายแล้ว เห็นว่าคดีชั้นนี้พิภาษกันอันเปนกรณีด้วยเรื่องเรือน ว่าฝ่ายใดจะมีอำนาจดีกว่ากัน ก่อนศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยเด็ดขาดว่าเรือนนั้นจะควรได้แก่ฝ่ายใดตามกฎหมาย ก็เพอินเกิดภัยนอกอำนาจขึ้น คือ เพลิงไหม้เรือนนั้นหมดไป เมื่อวัตถุที่ควรจะต้องได้รับความวินิจฉัยสูญสิ้นไปเสียแล้วเช่นนี้ คดีก็ไม่มีอะไรที่จะให้วินิจฉัยตามท้องสำนวนได้ต่อไปอีก การที่โจทย์แถลงขอเรียกค่าเสียหายต่อไปอีกนั้น เห็นว่านอกเรื่องที่ศาลวินิจฉัยได้เพราะคดีชั้นนี้เปนเรื่องยึดทรัพย์ของผู้แพ้คดีกับผู้ร้องขัดทรัพย์ อันเปนกิ่งออกไปจากคู่ความเดิมเท่านั้น ฯ
อนึ่งค่าฤชาธรรมเนียมที่ต่างฝ่ายได้เสียมาแล้ว จะบังคับให้ฝ่ายใดเสียแทนให้แก่กันนั้น ก็ยังยกข้อตำหนิทั้ง ๒ ฝ่ายไม่ได้เพราะเกิดภัยนอกอำนาจ ทำให้วัตถุรายพิภาษถูกไฟไหม้ก่อนได้รับความวินิจฉัยของศาลเสียแล้ว ค่าฤชาธรรมเนียมของฝ่ายนั้น ๆ จึงควรให้เปนภัพไปด้วยกัน ฯ
โดยเหตุนี้จึงพิพากษาว่าให้ยกฎีกาของโจทย์เสีย ค่าฤชาธรรมเนียมที่ต่างเสียมาแล้วให้เปนภัพไปด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย ส่วนค่าธรรมเนียมชั้นศาลฎีกาให้โจทย์เสียฝ่ายเดียว เพราะคำขอของโจทย์นอกเรื่องฟังไม่ขึ้น ฯ
วันที่ ๕ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓

Share