แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คู่ความที่ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1คือ จำเลยที่ 1 และที่ 3 ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้ฎีกาคำพิพากษาศาลฎีกาที่กล่าวถึงจำเลยที่ 2 เป็นเพราะการพิมพ์ผิดพลาด หาใช่ผิดพลาดในเนื้อหาสาระไม่ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจแก้ไขถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาดเช่นนี้ให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 190
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2ไม่คุมความประพฤติและไม่ปรับ ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ให้จ่ายสินบนนำจับนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังแล้วได้ประสานงานให้ศาลฎีกาทราบว่า ที่ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 1 เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 มานั้น น่าจะมีข้อผิดพลาดเพราะคดีนี้จำเลยที่ 2 มิได้ฎีกา หากแต่ผู้ที่ฎีกาคือจำเลยที่ 1และที่ 3 จำเลยที่ 2 หาได้ฎีกาไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คู่ความที่ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 คดีนี้คือ จำเลยที่ 1 และที่ 3 หาใช่จำเลยที่ 2 ไม่ดังนั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่กล่าวถึงจำเลยที่ 2 นั้น เป็นเพราะการพิมพ์ผิดพลาด หาใช่ผิดพลาดในเนื้อหาสาระไม่ ซึ่งการแก้ไขถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาดเช่นนี้ ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 190จึงสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
อาศัยเหตุดังวินิจฉัยข้างต้น จึงให้แก้ไขคำพิพากษาศาลฎีกาคดีนี้ทุกแห่งที่กล่าวระบุว่า “จำเลยที่ 2” เป็น “จำเลยที่ 3″นอกจากที่แก้ไขนี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเดิม