คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2463

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ย่อยาว

โจทย์ฟ้องว่าจำเลยเปนจ่าจังหวัดขุขันธ์ มีน่าที่รักษาเงินหลวงสำหรับใช้ในราชการ เมื่อวันที่ ๒ – ๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๑ เจ้าพนักงานได้ตรวจเงินในน่าที่ของจำเลยรักษาอยู่ มีจำนวน ๒๐๕๔ บาท ๕๘ สตางค์ แต่ตัวเงินไม่มีครบขาดไป ๙๘๕ บาท ๓๑ สตางค์ โดยจำเลยยักยอกเอาไว้เปนประโยชน์ส่วนตัวเสียขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๑๓๑ กับขอให้จำเลยใช้เงินที่ขาด ฯ
นายบุญเสร็จจำเลยให้การปฏิเสธคำหา ต่อสู้ว่าจำเลยได้ส่งเงินไปใช้ให้อำเภอศรีษะเกษ และส่งไปซื้อเข็มกำนันผู้ใหญ่บ้านยังมณฑลอุบลราชธานีตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัด คงมีตัวเงินที่จำเลยรักษาไว้ ๑๗๔ บาท ๕๖ สตางค์ ฯ
ศาลจังหวัดขุขันธ์พิจารณาแล้วเห็นว่า เงินที่ขาดไป ๙๘๕ บาท ๓๑ สตางค์จำเลยจำหน่ายตกว่าได้ส่งไปใช้อำเภอศรีษะเกษเสีย ๘๐๓ บาท ๗๕ สตางค์ ส่งไปซื้อเข็มที่มณฑลเสีย ๗ บาท รวมเปนเงิน ๘๑๐ บาท ๗๕ สตางค์ จำเลยเก็บไว้ที่บ้าน ๑๗๔ บาท ๕๖ สตางค์ รวมทั้งสิ้นก็ได้เปนตัวเงิน ๙๘๕ บาท ๓๑ สตางค์ สมข้อต่อสู้ของจำเลย จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทย์ปล่อยจำเลยไป ฯ
โจทย์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษพิจารณาแล้ว เห็นว่าเงิน ๘๑๐ บาท ๗๕ สตางค์ที่จำเลยอ้างว่าได้ส่งไปใช้ให้อำเภอศรีษะเกษ แลไปซื้อเข็มยังมณฑลนั้น ขุนขุขันธ์เขตรพนักงานคลังแลขุนสุวรรณสรรพากรจังหวัดกรรมการผู้ตรวจเงินในน่าที่ของจำเลยเบิกความเปนพยานว่า ได้คิดหักเงิน ๒ จำนวนนี้ให้แก่จำเลยแล้วไม่เกี่ยวกับรายเงินที่โจทย์ฟ้องว่าขาด จำเลยไม่มีพยานพอที่จะหักล้างคำพยานผู้ซึ่งเปนกรรมการตรวจเงินในน่าที่ของจำเลยได้จึงฟังว่าจำเลยได้ยักยอกเงิน ๙๘๕ บาท ๓๑ สตางค์ไปจริงดังคำที่โจทย์กล่าวหา ความผิดของจำเลยต้องด้วยกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๑๓๑ จึงพิพากษาให้กลับคำตัดสินศาลเดิม ลงอาญาจำคุกจำเลย ๒ ปี กับให้จำเลยใช้เงิน ๙๘๕ บาท ๓๑ สตางค์ให้แก่เจ้าน่าที่ ถ้าจำเลยไม่มีใช้ให้จำคุกแทนอีก ๑ ปี ฯ
จำเลยทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อความเท็จจริง ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนเรื่องนี้แล้ว เห็นว่าโจทย์จำเลยรับกันอยู่ในสำนวนแล้วว่าเงินหลวงที่มีอยู่ในน่าที่ของจำเลยรักษา ในวันสุดท้ายที่กรรมการมาตรวจ ๒๐๕๔ บาท ๕๘ สตางค์ คงตรวจได้ตัวเงินมีอยู่ที่จำเลย ๑๐๖๙ บาท ๒๗ สตางค์ ขาดไป ๙๘๕ บาท ๓๑ สตางค์ จำเลยจำหน่ายว่าเงินที่ขาดนี้จำเลยได้ส่งไปใช้อำเภอศรีสะเกษเสีย ๘๐๓ บาท ๗๕ สตางค์ ส่งไปซื้อเข็มกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่มณฑลอุบล ๗ บาท รวม ๘๑๐ บาท ๗๕ สตางค์ จำเลยเอาไปรักษาไว้ที่บ้าน ๑๗๔ บาท ๕๖ สตางค์ รวมได้จำนวนเงิย ๙๘๕ บาท ๓๑ สตางค์ ปัญหาจึงมีว่า ข้อต่อสู้ของจำเลยนี้จะฟังเปนความจริงได้ฤาไม่โจทย์นำขุนขุขันธ์เขตรพนักงานคลัง กับขุนสุวรรณธนากรสรรพากรจังหวัดกรรมการผู้ตรวจเงินในน่าที่ของจำเลยมาเบิกความเปนพยาน ว่าเงิน ๘๑๐ บาท ๗๕ สตางค์ที่จำเลยจำหน่ายนั้นพยานได้ตรวจหักออกให้จำเลยแล้ว จัวเงินจึงยังคงขาดอยู่ ๙๘๕ บาท ๓๑ สตางค์ ส่วนเงินที่จำเลยว่าเอาไปเก็บไว้ที่บ้านอีก ๑๗๔ บาท ๕๖ สตางค์นั้น โจทย์นำสืบถึงระเบียบการว่า ข้อบังคับห้ามไม่ให้นำเอาเงินหลวงไปเก็บไว้ที่บ้าน และในเงินจำนวน ๑๗๔ บาท ๕๖ สตางค์ ที่จำเลยอ้างว่าอยู่ที่บ้านจำเลยนั้น เมื่อจำเลยต้องถูกไต่สวนแลในที่สุดจำเลยถูกฟ้องยังศาล ก็หาได้ปรากฎว่าจำเลยได้นำเงิน ๑๗๔ บาท ๕๖ สตางค์มาแสดงว่าเงินนั้นได้มีอยู่ครบถ้วนตามที่จำเลยได้เก็บไว้ไม่ จำเลยไม่มีพยานพอที่จะหักล้างคำเจ้าพนักงานผู้ตรวจเงิน จำหน่ายให้สมข้อต่อสู้ของตนได้ที่ศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษตัดสินวางบทลงโทษจำเลยนั้นต้องด้วยทางพิจารณาแล้ว ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย ฯ
วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓

Share