คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมผู้มีชื่อได้ขอจับจองที่ดินและได้รับใบเหยียบย่ำเมื่อปี 2469 ต่อมาได้โอนที่ดินให้โจทก์เมื่อปี 2472 เจ้าพนักงานอำเภอได้บันทึกไว้ในใบเหยียบย่ำ เมื่อโจทก์ได้รับโอนมาแล้วก็แผ้วถางปลูกผลอาสินลงทั่วพื้นที่ทั้งหมด ดังนี้ ที่พิพาทจึงเป็นที่สวนการแย่งการครอบครองจึงต้องถืออายุความ 9 ปี 10 ปี ตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 จำเลยเพิ่งโต้แย้งสิทธิโจทก์เพียง 1 ปี สิทธิของโจทก์จึงยังไม่เสียไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี ๒๔๗๒ โจทก์ได้รับโอนที่ดินจากนายบ้วน แซ่โกหรือบ้วนวงศ์ ซึ่งเป็นผู้ได้รับใบเหยียบย่ำในปี ๒๔๖๙ จำเลยทั้ง ๕ สมคบกันบุกรุกที่ของโจทก์และเข้าเก็บดอกผลด้วย ขอให้ศาลสั่งห้ามจำเลยและบริวารมิให้เข้าเกี่ยวข้องขัดขวางสิทธิของโจทก์ และให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยพฤติการณ์ที่เป็นปรปักษ์ต่อโจทก์มาเป็นเวลาถึง ๑๗ ปีเศษแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิโจทก์มาเกิน ๑ ปีแล้ว โจทก์เพิ่งมาฟ้องเรียกคืนการครอบครอง คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ และเห็นว่าแม้จะเป็นการแย่งการครอบครอง ที่พิพาทมีสภาพเป็นที่สวนก่อนปี ๒๔๗๕ การแย่งการครอบครองต้องใช้อายุความเสียสิทธิถึง ๙ ปี ๑๐ ปี จำเลยเพิ่งแย่งกาารครอบครองได้เพียงปีเศษเท่านั้น สิทธิโจทก์ยังไม่เสียไป จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ถือว่าโจทก์ยังคงมีสิทธิเหนือที่พิพาทกอยู่
จำเลยทั้ง ๕ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมที่ดินแปลงพิพาท นายบ้วน แซ่โกหรือบ้วนวงศ์เป็นผู้ขอจับจองและได้รับใบเหยียบย่ำเมื่อปี ๒๔๖๙ มีเนื้อที่ประมาณ ๕๐ ไร่ นายบ้วนได้แผ้วถางหมดทั้งแปลงและปลูกมะพร้าวไว้ตอนนกลาง ๆ ประมาณ ๑๐ ไร่ ในปี ๒๔๗๒ นายบ้วนได้โอนให้แก่โจทก์ ทำการโอนต่อหน้าพนักงานอำเภอ พนักงานอำเภอได้บันทึกไว้ในใบเหยียบย่ำ เมื่อโจทก์ได้รับโอนมาแล้วก็แผ้วถางปลูกผลอาสินทั่วพื้นที่ทั้งหมด และได้แบ่งที่บางส่วนให้ผู้อื่นทำบ้าง ในราวปี ๒๔๘๒ นายโขกหรือโคก ทองปาน สามีจำเลยที่ ๑ บิดาจำเลยที่ ๒, ๓ และ ๔ และเป็นพ่อตาจำเลยที่ ๕ ได้บุกรุกเข้าไปปลูกมะพร้าวและผลอาสินทางตอนใต้สุดของที่ดิน โจทก์ร้องเรียนทางอำเภอ ๆ ได้เปรียบเทียบและบันทึกว่าที่เป็นของโจทก์ เมื่อนายโขกแพ้แล้วได้ขออาศัยเก็บกินในที่พิพาทจนกระทั่งตายไปเมื่อปี ๒๔๘๔ ฉะนั้น การที่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นภรรยากับจำเลยอื่นที่เป็นบุตรชายบุตรเขยนายโขกได้ครอบครองเก็บดอกผลในที่พิพาทต่อมา จึงตกอยู่ในฐานะอาศัยสิทธิโจทก์เช่นเดียวกับนายโชก โจทก์ได้แผ้วถางปลูกมะพร้าวและผลอาสินลงทั่วพื้นที่ทั้งหมดตั้งแต่ได้รับโอนที่จากนายบ้วน ที่พิพาทจึงมีสภาพเป็นที่สวนมาตังแต่ครั้งนั้นแล้ว
ฉะนั้นการแย่งการครอบครองจึงต้องถืออายุความ ๙ ปี ๑๐ ปี ตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ ๔๒ แต่ปรากฏว่าจำเลยเพิ่งโต้แย้งสิทธิโจทก์เป็นเวลาเพียงปีเศษเท่านั้น สิทธิของโจทก์จึงยังไม่เสียไป
พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฎีกาจำเลย

Share