แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คำท้าซึ่งคู่ความตกลงกันแล้วรังวัดไม่เสร็จตามนั้นเพราะคู่ความขัดแย้งกัน ศาลชั้นต้นนัดคู่ความมาอธิบายคำท้า จำเลยไม่มาศาลชั้นต้นเปลี่ยนข้อความโดยเห็นว่าเป็นเจตนาแท้จริงของคู่ความแต่จำเลยยื่นคำแถลงคัดค้าน ดังนี้ ต้องถือตามคำท้าเดิม เปลี่ยนแปลงโดยจำเลยไม่ตกลงด้วยไม่ได้ เมื่อรังวัดตามนั้นไม่ได้ก็ต้องยกเลิกคำท้า และพิจารณาคดีไปตามวิธีพิจารณา
ย่อยาว
คดีปรากฏการท้ากันดังนี้ “ก่อนสืบพยาน คู่ความแถลงท้ากันว่าให้ถือแผนที่พิพาทภายในเส้นสีแดงในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 116/2513 ของศาลจังหวัดสุโขทัย ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาให้เป็นของจำเลยในคดีนี้แล้ว ภายหลังจำเลยออกโฉนดที่ดินเลขที่ 47 เล่ม 1 หน้า 47 นั้ ได้ออกเกินที่ดินในเส้นสีแดงดังกล่าวหรือไม่ ถ้าไม่เกินฝ่ายโจทก์ยอมแพ้ ถ้าออกเกินจำเลยยอมแพ้ โดยให้เจ้าพนักงานที่ดินออกไปรังวัดร่วมกับจ่าศาล ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินและจ่าศาลได้ไปทำการรังวัดที่ดินตามคำท้าแล้วแต่รังวัดยังไม่เสร็จ คู่ความมีปัญหาขัดแย้งกันในเรื่องคำท้า จ่าศาลจึงรายงานต่อศาลชั้นต้น ปรากฏตามรายงานเจ้าหน้าที่วันที่ 19 กรกฎาคม 2520
ต่อมาศาลชั้นต้นนัดคู่ความมาพร้อมกันเพื่ออธิบายคำท้า ในวันนัดจำเลยมาศาลแต่โจทก์ไม่มา ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำท้าแล้วเห็นว่า ในวันท้าคู่ความได้พูดต่อหน้าศาลว่า โจทก์ (น่าจะเป็นจำเลย) ได้ออกโฉนดที่ดินเกินเส้นสีแดงทางทิศใต้หรือไม่ แต่ขณะเขียนคำท้า คู่ความไม่ได้บอกให้เขียนคำว่าทิศใต้ตามที่ตกลงไว้ จึงให้ถือเอาเจตนาเดิมที่คู่ความพูดกันต่อหน้าศาลคือ โจทก์ (น่าจะเป็นจำเลย) ออกโฉนดที่ดินเกินเส้นสีแดงทางทิศใต้หรือไม่แล้วศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินและจ่าศาลไปทำการรังวัดสอบเขตที่ดินตามคำท้าดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาวันที่ 29 สิงหาคม 2520 ของศาลชั้นต้น และก่อนที่เจ้าพนักงานที่ดินและจ่าศาลจะออกไปทำการรังวัดสอบเขตที่ดินตามคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวโจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นว่า ในวันที่ท้ากัน โจทก์มิได้บอกว่าจำเลยออกโฉนดรุกล้ำเส้นสีแดงเฉพาะทางทิศใต้แต่อย่างใด โจทก์เห็นว่าไม่ว่าจำเลยจะออกโฉนดเกินเส้นสีแดงทางทิศไหนก็ตาม ต้องถือว่าออกโฉนดเกิน และในวันที่ 29 สิงหาคม 2520 ที่ศาลชั้นต้นจดรายงานกันใหม่นั้นทนายโจทก์มิได้มาศาล ปรากฏตามคำแถลงของโจทก์วันที่ 7 กันยายน 2520” ฯลฯได้มีการรังวัดใหม่ แล้วศาลชั้นต้นพิพากษาให้ทำลายโฉนดของจำเลยส่วนที่รุกล้ำ 50 ตารางวา ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้พิจารณาพิพากษาใหม่ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คำท้าของคู่ความในคดีนี้ต้องถือตามคำท้าที่ศาลชั้นต้นจดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาวันที่ 23 มิถุนายน 2520ซึ่งมีข้อความว่า ให้เจ้าพนักงานที่ดินและจ่าศาลไปรังวัดเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 47ของจำเลยว่าเกินที่พิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 116/2513 ของศาลจังหวัดสุโขทัยหรือไม่ ถ้าเกินจำเลยยอมแพ้ ถ้าไม่เกินโจทก์ยอมแพ้ ส่วนที่ศาลชั้นต้นพิจารณาเปลี่ยนแปลงข้อความคำท้าของคู่ความใหม่ ตามที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาวันที่ 29 สิงหาคม 2520 ของศาลชั้นต้นนั้น ฝ่ายโจทก์มิได้ยินยอมด้วยโดยยื่นคำแถลงคัดค้านไว้ จึงรับฟังเป็นคำท้าของคู่ความไม่ได้ ต้องถือตามคำท้าเดิมดังกล่าวข้างต้น ข้อวินิจฉัยต่อไปมีว่า การรังวัดที่ดินของเจ้าพนักงานที่ดินและจ่าศาลได้ผลเพียงใดหรือไม่ปรากฏตามรายงานของเจ้าพนักงานที่ดินและจ่าศาลซึ่งได้ไปทำการรังวัดที่ดินตามคำท้าของคู่ความเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2520 ว่าสามารถรังวัดที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 116/2513 ของศาลจังหวัดสุโขทัยได้เพียงบางด้านเท่านั้น ส่วนด้านอื่นรังวัดสอบเขตไม่ได้เพราะไม่มีหมุดหลักเขตที่ปักไว้ และจ่าศาลไม่สามารถจะนำชี้เขตได้ ปรากฏตามหนังสือของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุโขทัย ที่ สท15/2489 ลงวันที่ 11ตุลาคม 2520 และรายงานของจ่าศาลจังหวัดสุโขทัย ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2520จึงฟังได้ว่าเจ้าพนักงานที่ดินและจ่าศาลทำการรังวัดหาเขตที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 116/2513 ของศาลจังหวัดสุโขทัยไม่ได้ ฉะนั้นจึงไม่สามารถจะทราบได้ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 47 ของจำเลยจะเกินที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 116/2513ของศาลจังหวัดสุโขทัยตามคำท้าของคู่ความหรือไม่ จึงวินิจฉัยชี้ขาดและพิพากษาคดีให้คู่ความฝ่ายใดชนะคดีตามคำท้าไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน