คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1274/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เคยฟ้องหย่าจำเลย ในที่สุดได้ทำสัญญาไว้ต่อกันเป็นข้อสารสำคัญว่า โจทก์จำเลยยอมคืนดีเป็นสามีภริยากันดังเดิม และข้อความในหนังสือสัญญานั้นได้กล่าวไว้ชัดว่าเป็นสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อระงับการฟ้องหย่าระหว่างโจทก์จำเลยไม่ต้องเป็นความกันต่อไป โจทก์จำเลยจึงได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์สินกันเป็นสัดส่วน กล่าวคือให้โจทก์ได้วัวที่มีตั๋วพิมพ์รูปพรรณ 16 ตัว ฯลฯ นอกจากทรัพย์ดังกล่าวนี้แล้วโจทก์ไม่ขอเอาอีกต่อไป หนังสือสัญญานี้จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850
ข้อความในสัญญาที่ว่าจำเลยและโจทก์ได้ตกลงพร้อมใจกันทำหนังสือยกทรัพย์สินสมรสและสินเดิมให้แก่โจทก์ ฯลฯ นอกจากทรัพย์ที่โจทก์ได้รับไปนี้แล้ว ไม่ขอเอาอีกต่อไปเห็นว่าเมื่อข้อสัญญาระบุชัดว่าโจทก์จะไม่เอาทรัพย์อื่นนอกจากที่โจทก์ได้รับตามสัญญานี้ ก็เท่ากับยอมให้ทรัพย์พิพาทอันเป็นทรัพย์ที่มีอยู่แล้วในขณะที่ทำสัญญานั้น ตกเป็นสิทธิของจำเลยฝ่ายเดียว โจทก์จะมาฟ้องขอแบ่งทรัพย์พิพาทอีกไม่ได้
สัญญาที่ทำไว้ต่อกัน ระหว่างที่โจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่ เมื่อไม่บอกล้างภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันขาดจากการสมรส ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 ก็ต้องถือว่ายังคงบังคับได้อยู่เสมอ (ข้อกฎหมายตามวรรค 2 และ 3 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2521)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2464 โจทก์ได้สมรสกับจำเลยโจทก์มีสินเดิมฝ่ายเดียว อยู่กินกันมามีบุตรหลายคน และมีทรัพย์สินบริคณห์เพิ่มมากขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2485 โจทก์ฟ้องหย่าจำเลย จำเลยไม่ยอมหย่า โจทก์จำเลยอยู่กินด้วยกันต่อไป จนกระทั่งวันที่ 11 มกราคม 2504 โจทก์จำเลยจึงหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน แต่ยังมิได้แบ่งแยกทรัพย์สินคือที่ดินโฉนดเลขที่ 400 และ 83 ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก อันเป็นสินสมรสโดยยังคงร่วมกันยึดถือครอบครองใช้ประโยชน์ร่วมกันระหว่างโจทก์จำเลยและบุตรตลอดมา โจทก์มีความประสงค์จะขอแบ่งที่ดินสินสมรสส่วนของโจทก์ 1 ใน 3 แต่จำเลยไม่ยอมแบ่งให้ จึงขอให้ศาลบังคับ

จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยสมรสกันเมื่อ พ.ศ. 2464 จริงแต่โจทก์ไม่มีสินเดิม จำเลยมีสินเดิมฝ่ายเดียว โจทก์จำเลยอยู่กินกันมาจนถึง พ.ศ. 2474 ก็ได้ทิ้งร้างกัน จำเลยได้ภริยาใหม่ ที่พิพาทเป็นทรัพย์สินที่จำเลยและภริยาใหม่ทำมาหาได้ร่วมกัน ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2485 โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยและขอแบ่งสินสมรส ได้ตกลงประนีประนอมกัน โดยจำเลยยอมรับโจทก์เป็นภริยาต่อไปและยอมยกสินบริคณห์ทั้งหมดให้แก่โจทก์ เว้นแต่ที่พิพาท 2 แปลง ซึ่งเป็นที่ดินที่มีอยู่ก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์สัญญาว่าจะไม่ฟ้องร้องขอแบ่งทรัพย์อย่างใดอีก ฯลฯ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จำเลยสมรสกันเมื่อ พ.ศ. 2464 โจทก์ได้ฟ้องหย่าขาดจากจำเลย และโจทก์กับจำเลยทำหนังสือสัญญาลงวันที่ 9 ธันวาคม 2485 ตามเอกสารหมาย ล.2 ใจความว่า จำเลยตกลงยกสินสมรสและสินเดิมตามที่ระบุไว้ในสัญญาดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์จำเลยกลับคืนดีเป็นสามีภริยากันดังเดิม หลังจากนั้นโจทก์ได้ถอนฟ้องคดีหย่า แล้วโจทก์จำเลยกลับมาอยู่กันกันอีกประมาณ 19 ปี มีบุตรด้วยกันอีก 1 คน เพิ่มจากที่เคยมีบุตรด้วยกันมาแล้ว 7 คน ต่อมาโจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่ากันเมื่อวันที่ 11 มกราคม2504 ที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลงเป็นทรัพย์นอกเหนือจากที่จำเลยตกลงยกให้แก่โจทก์ตามสัญญาหมาย ล.2 โดยจำเลยซื้อที่พิพาทเมื่อ พ.ศ. 2474 ระหว่างที่โจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันจึงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลย ปัญหาว่าหนังสือสัญญาหมาย ล.2 เป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาหรือไม่ แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อความในหนังสือสัญญาเอกสารหมาย ล.2 กล่าวไว้ชัดว่าเป็นสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อระงับการฟ้องหย่าระหว่างโจทก์จำเลยไม่ให้ต้องเป็นความกันต่อไป โจทก์จำเลยจึงตกลงแบ่งทรัพย์สินกันเป็นส่วนสัด กล่าวคือให้โจทก์ได้วัวที่มีตั๋วพิมพ์รูปพรรณแล้ว 16 ตัว ฯลฯ นอกจากทรัพย์ดังกล่าวไม่ขอเอาอีกต่อไปหนังสือสัญญานี้จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ข้อความตอนต้นของสัญญาที่ว่าจำเลยและโจทก์ได้ตกลงพร้อมใจกันทำหนังสือยกทรัพย์สินสมรสและสินเดิมให้แก่โจทก์ ฯลฯ นอกจากทรัพย์ที่โจทก์ได้รับไปนี้แล้ว ไม่ขอเอาอีกต่อไป ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เมื่อตามข้อสัญญาระบุชัดว่าโจทก์จะไม่เอาทรัพย์อื่นนอกจากที่โจทก์ได้รับตามสัญญานี้ ก็เท่ากับยอมให้ทรัพย์พิพาทอันเป็นทรัพย์ที่มีอยู่แล้วในขณะทำสัญญานั้นตกเป็นสิทธิของจำเลยไปฝ่ายเดียว โจทก์จะมาฟ้องขอแบ่งทรัพย์พิพาทอีกไม่ได้ นอกจากนั้นสัญญาดังกล่าวยังเป็นสัญญาที่ได้ทำไว้ระหว่างเป็นสามีภริยากัน เมื่อโจทก์ไม่ได้บอกล้างภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1461 ก็ต้องถือว่าสัญญานี้คงใช้บังคับได้อยู่เสมอ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องขอแบ่งทรัพย์พิพาท ฯลฯ

พิพากษายืน

Share