คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1790/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินผู้อื่นโดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 นั้น หมายความว่าผู้สร้างโรงเรือนต้องรู้ในขณะสร้างว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของคนอื่น จึงจะเรียกได้ว่าไม่สุจริต ถ้าผู้สร้างเข้าใจว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของตนจึงสร้างโรงเรือนรุกล้ำไปครั้นต่อมาจึงทราบว่าที่ตรงรุกล้ำนั้นไม่ใช่ของตนต้องถือว่าเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต
ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏว่าโจทก์อ้างว่าจำเลยได้ปลูกสร้างตึกแถวเข้ามาในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต อ้างเพียงว่าที่ดินที่จำเลยปลูกตึกรุกล้ำเข้ามาเป็นที่ดินของโจทก์ เมื่อโจทก์มิได้อ้างถึงความไม่สุจริตของจำเลย จำเลยก็ไม่จำต้องให้การต่อสู้ถึงความไม่สุจริตได้ แต่ที่จำเลยให้การว่าที่ดินที่โจทก์หาจำเลยรุกล้ำปลูกตึกเป็นที่ดินของจำเลยนั้น ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวก็เป็นการแสดงว่าจำเลยได้ทำการปลูกสร้างตึกแถวโดยสุจริต และที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นนำสืบไว้ว่า “จำเลยปลูกสร้างตึกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์หรือไม่ จะต้องรื้อส่วนที่รุกล้ำหรือไม่” นั้น ก็มีข้อเท็จจริงอยู่ในตัวของประเด็นที่ตั้งไว้นั้นที่จะต้องพิจารณาถึงด้วยว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินที่จำเลยปลูกสร้างตึกรุกล้ำเข้าไปนั้นเป็นที่ดินของโจทก์แล้ว จำเลยจะต้องรื้อส่วนที่รุกล้ำหรือไม่ และการจะให้จำเลยรื้อตึกแถวนั้นหรือไม่ก็ต้องอาศัยข้อเท็จจริงถึงความสุจริตของจำเลยว่าจำเลยได้สร้างตึกแถวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยสุจริตหรือไม่ เมื่อฟังได้ว่าจำเลยได้สร้างรุกล้ำเข้าไปโดยสุจริตก็จำต้องยก มาตรา 1312 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาพิจารณาปรับบทให้ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ยกเหตุจำเลยปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยสุจริต จึงมิใช่เป็นเรื่องนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำการก่อสร้างตึกแถวบุกรุกเข้ามาในที่ดินโจทก์บางส่วน โจทก์ได้ทักท้วงให้จำเลยรื้อถอนสิ่งก่อสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์จำเลยปฏิเสธอ้างว่าจำเลยได้ก่อสร้างตึกแถวลงบนที่ดินของจำเลยเอง และจำเลยได้สร้างตึกแถวจนแล้วเสร็จ ซึ่งในขณะจำเลยก่อสร้างตึกแถวโจทก์ไม่ทราบแน่นอนว่าจำเลยจะได้ทำการก่อสร้างบุกรุกเข้ามาในที่ดินของโจทก์บางส่วนจริงหรือไม่ เพราะหาหลักเขตที่ดินสอบไม่พบ ต่อมาโจทก์จำเลยร้องขอเจ้าพนักงานที่ดินตรวจสอบเนื้อที่ดินตามโฉนดของโจทก์จำเลย ปรากฏว่าจำเลยได้บุกรุกเข้ามาก่อสร้างตึกแถวล้ำลงบนที่ดินของโจทก์ จำเลยยอมรับว่าได้ก่อสร้างตึกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ จะยอมรื้อสิ่งก่อสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์ให้เรียบร้อย แต่จำเลยก็ไม่รื้อ บอกกล่าวจำเลยก็เพิกเฉย การที่จำเลยก่อสร้างตึกรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนตึกแถวส่วนที่ล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ และส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยให้จำเลยใช้ค่าเสียหายและดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์หรือไม่ จำเลยไม่รับรองจำเลยได้ปลูกตึกแถวลงบนที่ดินของจำเลยมิได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ไม่เคยรับว่าปลูกตึกรุกล้ำและจะรื้อถอนให้ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้อง ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยต้องรื้อถอนสิ่งที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินโจทก์ พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนตึกแถวเฉพาะส่วนที่ล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ออกไป จากที่ดินโจทก์ให้ส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลืบคลุม จำเลยปลูกตึกแถวรุกล้ำที่ดินของโจทก์ตามแผนที่พิพาท แต่ที่จำเลยปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์จำเลยไม่รู้มาก่อนว่าเป็นที่ดินของโจทก์ โดยจำเลยเชื่อว่าเป็นที่ดินของจำเลยการปลูกสร้างตึกแถวของจำเลยจึงกระทำไปโดยสุจริต จำเลยจึงเป็นเจ้าของตึกแถวที่สร้างขึ้น แต่จำเลยต้องเสียเงินให้แก่โจทก์เป็นค่าที่ดินที่รุกล้ำ และจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 แต่ปรากฏว่า จำเลยได้ปลูกสร้างทั้งตัวตึกแถวและบาทวิถีรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312จำเลยได้รับความคุ้มครองเฉพาะตัวตึกที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์เท่านั้นส่วนบาทวิถีไม่ใช่ตัวตึกแถวหรือโรงเรือนที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย แม้จำเลยจะก่อสร้างรุกล้ำโดยสุจริต ค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นคำนวณให้เหมาะสมแล้ว พิพากษาแก้ให้จำเลยรื้อถอนบาทวิถีเฉพาะส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้ส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยให้ยกคำขอของโจทก์เฉพาะที่เกี่ยวกับให้รื้อถอนตัวตึกที่รุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของโจทก์ โดยไม่ตัดสิทธิคู่ความที่จะใช้สิทธิเรียกร้องและว่ากล่าวกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 ต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาว่าจำเลยได้ปลูกตึกแถวลงในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต และจำเลยไม่ได้ต่อสู้คดีโจทก์มาแต่ต้นว่า จำเลยได้ปลูกสร้างตึกแถวลงในที่ดินโจทก์โดยสุจริต จำเลยเพิ่งยกความข้อนี้ขึ้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ และปัญหาที่ว่าจำเลยปลูกสร้างอาคารลงในที่ดินของโจทก์โดยสุจริตหรือไม่ มิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจจะยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัย

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยปลูกตึกแถวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริตนั้น ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏว่าโจทก์อ้างว่าจำเลยได้ปลูกสร้างตึกแถวเข้ามาในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต ฟ้องของโจทก์บรรยายว่าในขณะที่จำเลยทำการก่อสร้างตึกแถวอยู่โจทก์เองไม่มีทางใดที่จะทราบแน่นอนว่า จำเลยได้ทำการก่อสร้างบุกรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์บางส่วนจริงหรือไม่ เพราะหาหลักเขตที่ดินสอบไม่พบ เมื่อโจทก์ทักท้วงขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งก่อสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์ จำเลยปฏิเสธอ้างว่าได้ก่อสร้างตึกแถวลงบนที่ดินของจำเลย ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ที่ว่าจำเลยอ้างว่าที่ดินที่จำเลยปลูกสร้างตึกรุกล้ำเข้าไปเป็นที่ดินของจำเลยนั้น ย่อมเป็นข้อสนับสนุนให้เห็นความเข้าใจของจำเลยแต่แรกนั้นได้ว่า จำเลยคงเชื่อโดยสุจริตว่า ที่ดินส่วนของโจทก์นั้นจำเลยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของจำเลย ทั้งข้อเท็จจริงก็ได้ความว่าที่ดินของโจทก์จำเลยมีเขตติดต่อกัน และตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ว่า ต่อมาเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินได้มารังวัดสอบเขตที่ดินตามโฉนดของโจทก์จำเลย ตามที่โจทก์จำเลยร้องขอจึงทราบว่าจำเลยได้ก่อสร้างตึกแถวรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ และในวันที่เจ้าพนักงานรังวัดสอบที่ดินกันนั้น โจทก์ก็เบิกความว่าจำเลยได้สร้างตึกแถวเสร็จแล้ว ส่วนจำเลยนำสืบว่าที่ดินที่จำเลยได้ก่อสร้างตึกรุกล้ำเข้าไปนั้นที่ดินส่วนนั้นจำเลยเข้าใจว่าอยู่ในเขตที่ดินของจำเลย ข้อเท็จจริงได้ความว่าเนื้อที่ดินที่จำเลยปลูกสร้างตึกแถวรวมทั้งบาทวิถีรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์นั้นมีเนื้อที่ประมาณครึ่งตารางวา จึงมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าเมื่อจำเลยสร้างตึกแถวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์นั้น จำเลยคงเข้าใจว่าเป็นที่ดินของจำเลยเพราะที่ดินที่จำเลยรุกล้ำสร้างตึกลงไปนั้นเนื้อที่เพียงเล็กน้อย ศาลฎีกาเห็นว่าการสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินผู้อื่นโดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 นั้น หมายความว่าผู้สร้างโรงเรือนต้องรู้ในขณะสร้างว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของคนอื่น จึงจะเรียกได้ว่าไม่สุจริต ถ้าผู้สร้างเข้าใจว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของตนจึงสร้างโรงเรือนรุกล้ำไป ครั้นต่อมาจึงทราบว่าที่ตรงรุกล้ำนั้นไม่ใช่ของตนต้องถือว่าเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้สร้างตึกแถวรุกล้ำที่ดินโจทก์โดยไม่สุจริต ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยไม่ได้ต่อสู้คดีโจทก์มาแต่ต้นว่าจำเลยได้ปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำที่ดินโจทก์โดยสุจริต จำเลยเพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยนั้น ศาลฎีกา เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏว่าโจทก์อ้างว่าจำเลยได้ปลูกสร้างตึกแถวเข้ามาในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริตอ้างเพียงว่าที่ดินที่จำเลยปลูกตึกรุกล้ำเข้ามาเป็นที่ดินของโจทก์ เมื่อโจทก์มิได้อ้างถึงความไม่สุจริตของจำเลย จำเลยก็ไม่จำต้องให้การต่อสู้ถึงความไม่สุจริตได้แต่ที่จำเลยให้การว่าที่ดินที่โจทก์หาจำเลยรุกล้ำปลูกตึกเป็นที่ดินของจำเลยนั้นข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวก็เป็นการแสดงว่า จำเลยได้ทำการปลูกสร้างตึกแถวโดยสุจริต และที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นนำสืบไว้ว่า “จำเลยปลูกสร้างตึกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์หรือไม่ จะต้องรื้อส่วนที่รุกล้ำหรือไม่” นั้น ก็มีข้อเท็จจริงอยู่ในตัวของประเด็นที่ตั้งไว้นั้นที่จะต้องพิจารณาถึงด้วยว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินที่จำเลยปลูกสร้างตึกรุกล้ำเข้าไปนั้นเป็นที่ดินของโจทก์แล้ว จำเลยจะต้องรื้อส่วนที่รุกล้ำหรือไม่ และการจะให้จำเลยรื้อตึกแถวนั้นหรือไม่ก็ต้องอาศัยข้อเท็จจริงถึงความสุจริตของจำเลยว่าจำเลยได้สร้างตึกแถวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยสุจริตหรือไม่ เมื่อฟังได้ว่าจำเลยได้สร้างรุกล้ำเข้าไปโดยสุจริตก็จำต้องยกมาตรา 1312 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาพิจารณาปรับบทให้ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ยกเหตุจำเลยปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยสุจริต จึงมิใช่เป็นเรื่องนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้

พิพากษายืน

Share