คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 5 จำคุกตลอดชีวิตและจำเลยมิได้อุทธรณ์เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 เมื่อศาลชั้นต้นมิได้ส่งสำนวนเกี่ยวกับจำเลยที่ 5 ไปศาลอุทธรณ์โดยตรงแต่ส่งไปเพราะจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อุทธรณ์ หากศาลอุทธรณ์ตรวจพบ ก็มีอำนาจหยิบยกคดีส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 ขึ้นวินิจฉัยไปพร้อมกับจำเลยอื่นที่อุทธรณ์ได้ แต่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยเพียงว่า จำเลยที่ 5 มิได้อุทธรณ์ คดียุติ หาได้วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 5 กระทำความผิดตามฟ้องเพียงใดหรือไม่ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีกหนึ่งคนร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์จำนวน ๒๐ แท่งหนัก ๕.๖๘๐ กิโลกรัม ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันจำหน่ายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ดังกล่าวแก่ผู้มีชื่อในราคา ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท โดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฯ มาตรา ๗, ๑๕, ๖๖, ๑๐๒ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑, ๘๓ ริบของกลาง
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษาว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฯ มาตรา ๑๕, ๖๖ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐ ลงโทษฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุกจำเลยทั้งห้าตลอดชีวิต จำเลยที่ ๑ รับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนลดโทษหนึ่งในห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ เปลี่ยนโทษจกคุกตลอดชีวิตเป็นจำคุก ๕๐ ปี ตามมาตรา ๕๓ คงจำคุกจำเลยที่ ๑ สี่สิบปี ของกลางริบ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ กระทำผิดตามฟ้องจำเลยที่ ๕ มิได้อุทธรณ์ คดียุติ พิพากษาแก้เป็นว่าไม่ต้องปรับบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๕ ถึงจำคุกตลอดชีวิต และจำเลยมิได้อุทธรณ์ เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนคดีนี้ไปยังศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๕ คดีนี้ศาลชั้นต้นมิได้ส่งสำนวนเกี่ยวกับจำเลยที่ ๕ ไปศาลอุทธรณ์โดยตรง แต่ส่งไปเพราะจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ อุทธรณ์ แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ตรวจพบ ก็มีอำนาจหยิบยกคดีส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๕ ขึ้นวินิจฉัยไปพร้อมกับจำเลยอื่นที่อุทธรณ์ไว้นั้นได้ ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้หยิบยกคดีส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๕ ขึ้นวินิจฉัยในคำพิพากษาฉบับเดียวกับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ แล้ว แต่วินิจฉัยเพียงว่า ‘จำเลยที่ ๕ มิได้อุทธรณ์ คดียุติ’ หาได้วินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๕ กระทำความผิดตามฟ้องเพียงใดหรือไม่ อันจะเป็นเหตุให้ต้องพิพากษายืน ยก กลับ แก้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share