คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5520/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและจำเลยร่วมออกจากตึกแถวพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าสร้างและสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์เมื่อปรากฏว่าคดีแพ่งหมายเลขแดงที่7416/2529ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างระหว่างอ. กับโจทก์และเพิกถอนสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์ซึ่งมีผลเสมือนไม่มีการโอนสิทธิการเช่าที่ดินของโจทก์ร่วมเพื่อสร้างตึกแถวแล้วยกกรรมสิทธิ์ในตึกแถวนั้นให้โจทก์ร่วมและไม่มีสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์โจทก์ร่วมและโจทก์ยังไม่มีสิทธิอย่างใดในตึกแถวพิพาทโจทก์ร่วมและโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2527 โจทก์ทำสัญญาเช่าตึกแถว 2 คูหา บนที่ดินแปลงหมายเลข 21 ตำบลในตรอกเหนือสะพานบางรักแขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และได้เข้าครอบครองตึกแถวตั้งแต่วันทำสัญญาต่อมาประมาณเดือนพฤศจิกายน 2527 จำเลยและบริวารเข้าไปอยู่อาศัยในตึกแถวโดยไม่มีสิทธิ ทำให้โจทก์เสียหาย โดยโจทก์ประสงค์จะใช้ตึกแถวประกอบการค้าอัญมณีและส่งออกจะมีรายได้เดือนละประมาณ 500,000 บาท ขอคิดค่าเสียหายตั้งแต่เดือนละเมิดจนถึงวันฟ้องจำนวน 1,500,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายสิ่งของออกไปจากตึกแถวพิพาท และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 1,500,000 บาท และต่อไปเดือนละ 500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารออกไปจากตึกแถวพิพาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้มีสิทธิการเช่ารายที่ฟ้องที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของตึกแถวพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เดิมสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ทำสัญญาเช่าสร้างกับผู้มีชื่อโดยมีข้อตกลงว่าผู้เช่าจะต้องสร้างตึกแถวลงในที่ดินดังกล่าวแล้วยกกรรมสิทธิ์ให้แก่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ผู้เช่ามีสิทธิเช่าตึกแถวดังกล่าวเป็นเวลา 11 ปี แล้วผู้มีชื่อโอนสิทธิการเช่าสร้างให้แก่นายอภิชาติ เฟื่องฟูวณิช ต่อมานายอภิชาติได้โอนสิทธิการเช่าสร้างให้แก่นายจักรสิทธิ์ มณีพลอยเพชรนายอภิชาติและนายจักรสิทธิ์ได้ไปยื่นเรื่องราวการโอนและแจ้งการโอนเป็นหนังสือต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โดยยืนยันว่าจะไม่เพิกถอนเรื่องการโอน สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ขัดข้องและได้เรียกเงินประกันค่าโอนไว้แล้วจะเรียกนายจักรสิทธิ์มาทำสัญญาต่อไป หลังจากนั้นนายจักรสิทธิ์ไปติดตามเรื่องจึงทราบว่าโจทก์กับนายอภิชาติและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์สมคบกันโอนสิทธิการเช่าสร้างให้แก่โจทก์โดยไม่สุจริต นายจักรสิทธิ์ได้ฟ้องโจทก์นายอภิชาติและสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ขอให้เพิกถอนการโอนและการเช่าตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 16378/2527 ของศาลชั้นต้นนายจักรสิทธิ์มีสิทธิการเช่าดีกว่าโจทก์ นอกจากนี้โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองและไม่เคยเข้าครอบครองตึกแถวพิพาทเพราะจำเลยและนายจักรสิทธิ์เป็นผู้ครอบครองตลอดมานับตั้งแต่สร้างเสร็จจนถึงปัจจุบัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้าเป็นโจทก์ร่วม และเรียกนายจักรสิทธิ์ มณีพลอยเพชรเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องว่า ตึกแถวพิพาทปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ร่วม โดยโจทก์ร่วมเป็นผู้ขออนุญาตปลูกสร้างและได้ทำสัญญาให้โจทก์เช่าโดยให้โจทก์เป็นผู้ก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 300 วันและโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นแล้วยกกรรมสิทธิ์ตึกแถวให้เป็นของโจทก์ร่วมทันทีที่สร้างเสร็จ และโจทก์ร่วมยอมให้เช่าตึกแถวได้นาน 11 ปี นอกจากนี้โจทก์ร่วมขอถือเอาคำฟ้องของโจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยและให้ขนย้ายทรัพย์สินไปจากตึกแถวพิพาทห้ามมิให้เกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยร่วมให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ยังไม่ได้ครอบครองตึกแถวพิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เดิม นางสุวรรณา สิงห์จาวลาได้ทำสัญญากับโจทก์ร่วมสร้างตึกแถวพิพาทในที่ดินของโจทก์ร่วมต่อมานางสุวรรณาได้โอนสิทธิเช่าสร้างให้นายอภิชาติฟูเฟื่องวณิช เป็นผู้สร้างแทน นายอภิชาติประสบปัญหาการเงินจึงโอนสิทธิตามสัญญาเช่าสร้างให้จำเลยร่วมในราคา 3,000,000 บาทจำเลยร่วมได้ชำระค่าตอบแทนและได้บอกกล่าวการโอนให้โจทก์ร่วมทราบแล้ว เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้ว ต้นเดือนกันยายน 2527 จำเลยร่วมได้ให้จำเลยและครอบครัวเข้ามาอยู่ตั้งแต่นั้นมา ครั้นจำเลยร่วมติดตามเรื่องได้ทราบว่าโจทก์ โจทก์ร่วมและนายอภิชาติสมคบกันโดยไม่สุจริตยกเลิกการโอนเลิกการเช่าของจำเลยร่วมให้โจทก์เป็นผู้รับโอนสิทธิและเป็นผู้เช่าทั้งที่ตึกแถวพิพาทยังสร้างไม่เสร็จโดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยร่วมมีสิทธิดีกว่า จำเลยร่วมจึงได้ฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนสิทธิระหว่างนายอภิชาติกับโจทก์และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วมและขอให้จำเลยร่วมได้เป็นผู้เช่าจากโจทก์ร่วมปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 16378/2527ของศาลชั้นต้น โจทก์ไม่เสียหายเพราะเป็นฝ่ายแย่งสิทธิของจำเลยร่วมโดยไม่สุจริต ตึกแถวพิพาทอยู่ในที่ลับตาห่างถนนใหญ่มากหากจะให้เช่าก็จะได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 3,000 บาท เมื่อวันที่8 พฤศจิกายน 2527 โจทก์และเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบางรักได้บุกรุกเข้าไปในตึกแถวพิพาทโดยงัดประตูเหล็กหน้าร้านและพังประตูหลังร้านเข้าไป เป็นการรบกวนสิทธิครอบครองของจำเลยร่วมและบริวารต้องเสื่อมเสียเสรีภาพ จำเลยร่วมต้องซ่อมประตูใหม่เสียหายเป็นเงิน 12,000 บาท และขอค่าเสียหายที่ถูกรบกวนการครอบครองอีก 40,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายจำนวน 52,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่จำเลยร่วม
โจทก์และโจทก์ร่วมให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยร่วมไม่เคยเข้าครอบครองตึกแถวพิพาท ประตูหน้าและหลังไม่เสียหายจึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหาย 12,000 บาท จำเลยร่วมมิได้เสื่อมเสียเสรีภาพ จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย 40,000 บาทจำเลยร่วมไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ร่วม เพียงแต่นายอภิชาติผู้สร้างเดิมเคยยื่นคำร้องขอให้โจทก์ร่วมโอนสิทธิตามสัญญาเช่าสร้างให้แก่จำเลยร่วม ต่อมานายอภิชาติได้ยื่นคำร้องขอระงับการโอนให้จำเลยร่วมเปลี่ยนเป็นขอโอนให้แก่โจทก์จำเลยร่วมและนายอภิชาติเพียงแต่ยื่นคำร้องถึงโจทก์ร่วมขอโอนสิทธิตามสัญญาเช่าสร้าง แม้จะได้เสียค่าธรรมเนียมการโอนด้วยก็ไม่ถือว่าโจทก์ร่วมได้อนุมัติให้มีการโอนกันได้เพราะจะต้องมีมติของที่ประชุมคณะกรรมการของโจทก์ร่วมเสียก่อนจึงมีผลสมบูรณ์การที่จำเลยร่วมให้จำเลยและครอบครัวเข้าไปอยู่ในตึกแถวพิพาทซึ่งสร้างยังไม่เสร็จเป็นการบุกรุกละเมิดต่อโจทก์ร่วม ขอให้ยกฟ้องแย้งและ จำเลยร่วม
ในวันนัดสืบพยานโจทก์และโจทก์ร่วม จำเลยร่วมยื่นคำแถลงลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2528 ว่า การที่โจทก์และโจทก์ร่วมจะฟ้องขับไล่จำเลยและจำเลยร่วมได้หรือไม่นั้น จำต้องอาศัยคำชี้ขาดของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 16378/2527 ระหว่างนายจักรสิทธิ์ มณีพลอยเพชร โจทก์ นายอภิชาติ ฟูเฟื่องวณิช ที่ 1สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่ 2 นายสุจินต์เตโชติอัศนีย์ ที่ 3 จำเลย เสียก่อนว่าโจทก์หรือจำเลยร่วมเป็นผู้มีสิทธิในตึกแถวพิพาทดีกว่ากัน หากในคดีดังกล่าวศาลชี้ขาดว่าจำเลยร่วมเป็นผู้มีสิทธิในตึกแถวพิพาท โจทก์คดีนี้ก็ต้องแพ้คดี ขอให้ศาลเลื่อนการพิจารณาคดีนี้ไปเพื่อฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 16378/2527 ของศาลชั้นต้นโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้รอการพิจารณาคดีนี้ไว้เพื่อฟังผลคดีดังกล่าวเมื่อมีคำพิพากษาคดีดังกล่าวแล้วให้โจทก์และโจทก์ร่วมแถลงศาลภายใน 15 วัน เพื่อยกคดีนี้ขึ้นพิจารณาต่อไป
วันที่ 23 ธันวาคม 2529 คู่ความแถลงร่วมกันว่า คดีหมายเลขดำที่ 163788/2527 ศาลได้มีคำพิพากษาแล้วเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 7416/2529 โดยพิพากษาให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างระหว่างนายอภิชาติกับโจทก์และเพิกถอนสัญญาเช่าสร้างระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์ ถ้าไม่สามารถเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างและสัญญาเช่าสร้างดังกล่าวไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้นายอภิชาติและโจทก์ร่วมกันชดใช้เงิน 3,200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากเพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างและสัญญาเช่าสร้างดังกล่าวได้แล้ว แต่นายอภิชาติไม่สามารถโอนสิทธิการเช่าสร้างดังกล่าวให้โจทก์ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้นายอภิชาติ แต่เพียงผู้เดียวชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยตามจำนวนที่กำหนดไว้ข้างต้นแก่โจทก์แต่โจทก์และจำเลยทั้งสามในคดีดังกล่าวอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์และโจทก์ร่วมแถลงขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ต่อไปจำเลยและจำเลยร่วมแถลงขอให้รอคดีดังกล่าวถึงที่สุดเสียก่อน ศาลชั้นต้นเห็นว่าการวินิจฉัยชี้ขาดคดีนี้จำต้องอาศัยคำชี้ขาดของศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7416/2529ว่าโจทก์หรือจำเลยร่วมเป็นผู้มีสิทธิในตึกแถวพิพาทดีกว่ากันเมื่อคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด จึงให้รอการพิจารณาคดีนี้ไว้ฟังผลของคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วให้โจทก์และโจทก์ร่วมแถลงศาลภายใน 15 วัน เพื่อให้ยกคดีนี้ขึ้นพิจารณาต่อไป
ต่อมาวันที่ 11 พฤศจิกายน 2530 ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีนี้ศาลสั่งให้รอฟังผลคดีดังกล่าวจนเวลาล่วงเลยมา 3 ปีแล้วคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ และโจทก์ขอให้ศาลพิจารณาคดีต่อไป แม้ปรากฏผลของคดีดังกล่าวก็ยังมีปัญหาจะต้องพิจารณาอีก โดยเฉพาะประเด็นเรื่องค่าเสียหายและฟ้องแย้งจึงเห็นสมควรให้พิจารณาคดีต่อไป
คู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงให้ใช้พยานหลักฐานในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7416/2529 ของศาลชั้นต้น เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้และให้สืบพยานเฉพาะประเด็นเรื่องค่าเสียหายตามฟ้องโจทก์ส่วนค่าเสียหายตามฟ้องแย้งนั้นถ้าโจทก์แพ้คดีก็ให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยร่วม 5,000 บาท โดยจำเลยร่วมไม่ต้องสืบพยานถึงการกระทำละเมิดของโจทก์ เป็นการอาศัยผลคดีฝ่ายโจทก์เป็นข้อชี้ขาด หากโจทก์ชนะคดี จำเลยและจำเลยร่วมก็จะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลย จำเลยร่วมและบริวารออกไปจากตึกแถวห้องหมายเลข 1, 2 บนที่ดินแปลงหมายเลขที่ 21ตำบลในตรอกเหนือ สะพานบางรัก ตรอกโต๊ะ ถนนเจริญกรุงแขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 2,000 บาท ตั้งแต่วันที่11 ธันวาคม 2527 จนกว่าจำเลย จำเลยร่วมและบริวารจะออกไปคำขออื่นให้ยก ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยร่วม
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยซึ่งจำเลยและจำเลยร่วมมิได้ฎีกาโต้แย้งว่าเดิมโจทก์ร่วมทำสัญญาให้นางสุวรรณา สิงห์จาวลา เช่าที่ดินของโจทก์ร่วมแปลงหมายเลขที่ 21 เพื่อสร้างตึกแถวสองคูหาเลขที่ 1-2แล้วยกกรรมสิทธิ์ในตึกแถวนั้นให้โจทก์ร่วมตามหนังสือสัญญาเช่าที่ดินชั่วคราวเอกสารหมาย ล.59 ต่อมานางสุวรรณาได้โอนสิทธิการเช่าสร้างให้นายอภิชาติ ฟูเฟื่องวณิช และนายอภิชาติได้ทำสัญญาเช่าสร้างกับโจทก์ร่วมแล้วตามเอกสารหมาย ล.63หลังจากนั้นนายอภิชาติได้ตกลงโอนสิทธิการเช่าสร้างดังกล่าวให้แก่จำเลยร่วมและได้ยื่นเรื่องราวขอโอนสิทธิการเช่าสร้างให้โจทก์ร่วมพิจารณาอนุมัติ แต่ในระหว่างที่โจทก์ร่วมกำลังพิจารณาอนุมัติอยู่นั้น โจทก์ร่วมได้รับหมายห้ามชั่วคราวของศาลชั้นต้นห้ามโอนสิทธิการเช่าสร้างของนายอภิชาติในคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องนายอภิชาติให้ชำระเงินตามเช็ค ต่อมาศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งถอนหมายห้ามชั่วคราวนั้นและนายอภิชาติได้ขอระงับการโอนสิทธิการเช่าสร้างให้แก่จำเลยร่วมและขอโอนสิทธิการเช่าสร้างให้แก่โจทก์แทน โจทก์ร่วมอนุมัติให้นายอภิชาติระงับการขอโอนสิทธิการเช่าสร้างให้แก่จำเลยร่วมและอนุมัติให้โอนสิทธิการเช่าสร้างให้แก่โจทก์ โจทก์ร่วมได้ทำสัญญาเช่าสร้างกับโจทก์เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2527 ตามเอกสารหมาย ล.71หลังจากก่อสร้างตึกแถวเสร็จแล้ว จำเลยร่วมได้ให้จำเลยและครอบครัวเข้าอยู่ในตึกแถวพิพาท ต่อมาจำเลยร่วมทราบเรื่องที่โจทก์ร่วมอนุมัติดังกล่าวจึงยื่นฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างระหว่างนายอภิชาติกับโจทก์ และเพิกถอนสัญญาเช่าสร้างระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์ ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7416/2529ของศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกว่าโจทก์และโจทก์ร่วมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและจำเลยร่วมออกจากตึกแถวพิพาทหรือไม่นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและจำเลยร่วมออกจากตึกแถวพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าสร้างและสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์เมื่อปรากฏว่าคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7416/2529 ของศาลชั้นต้นถึงที่สุด โดยศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่าให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คือให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างระหว่างนายอภิชาติกับโจทก์และเพิกถอนสัญญาเช่าสร้างระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์ ซึ่งมีผลเสมือนไม่มีการโอนสิทธิการเช่าที่ดินของโจทก์ร่วมเพื่อสร้างตึกแถวแล้วยกกรรมสิทธิ์ในตึกแถวนั้นให้โจทก์ร่วม และไม่มีสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์โจทก์ร่วมและโจทก์ยังไม่มีสิทธิอย่างใดในตึกแถวพิพาทโจทก์ร่วมและโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดี โจทก์ต้องใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยร่วมอีกต่อไป
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share