คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การออกตั๋วสัญญาใช้เงิน และผู้ออกคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16 ต่อปี เป็นการตกลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 911, 968 (1) ประกอบด้วยมาตรา 985 ซึ่งกฎหมายมิได้วางข้อจำกัดอันใดไว้จึงแล้วแต่คู่กรณีจะตกลงกัน จึงมิใช่การให้กู้ยืมเงินตามความหมายของ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ฯ การที่ระบุอัตราดอกเบี้ยไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ก็มิใช่กรณีเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราอันจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ดังกล่าว ทั้งไม่ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 654 ตั๋วสัญญาใช้เงินและดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องจึงไม่เป็นโมฆะ
เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.8/2542 เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท ป. ลูกหนี้แล้ว โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นกิจการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ล้มละลายฯ ซึ่งโจทก์ก็เบิกความยืนยันว่ายังไม่ได้รับชำระหนี้จากบริษัท ป. ข้อนี้จำเลยก็ไม่นำสืบโต้แย้งว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้แล้ว หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องจึงยังไม่ระงับ การยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการดังกล่าวเป็นเพียงวิธีการตามที่กฎหมายกำหนดไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ เมื่อหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินยังไม่ระงับ จำเลยผู้ค้ำประกันด้วยอาวัลจึงต้องร่วมรับผิดกับบริษัท ป. ผู้ออกตั๋วด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงิน ที่บริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด เป็นผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน โดยมีบริษัทปัญจพลพัลพ์ อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) และจำเลยเป็นผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว เมื่อถึงกำหนดใช้เงิน โจทก์นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปยื่นให้บริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด บริษัทปัญจพล พัลพ์ อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) และจำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์ปรากฏว่าไม่ได้รับชำระเงิน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต่อมาบริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง ขอให้ศาลมีคำสั่งฟื้นฟูกิจการ ซึ่งโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 26,962,301.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ของต้นเงิน 23,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า กรรมการจำเลยที่อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงิน กระทำการนอกวัตถุประสงค์ของจำเลย การอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินของกรรมการจำเลยไม่มีผลผูกพันจำเลย โจทก์ไม่เคยนำตั๋วสัญญาใช้เงินไปยื่นต่อบริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด บริษัทปัญจพล พัลพ์ อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) และจำเลยเพื่อให้ใช้เงินบริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด บริษัทปัญจพล พัลพ์ อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องเพราะต้นฉบับตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ได้อยู่ในความครอบครองของโจทก์ โจทก์นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปยื่นขอรับชำระหนี้จากบริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ในคดีของศาลล้มละลายกลาง โดยโจทก์ได้เห็นชอบในแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจึงระงับไป จำเลยไม่ต้องรับผิดในหนี้ใหม่ที่แปลงมา ตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นโมฆะ เพราะมีการเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปีขัดต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 ตั๋วสัญญาใช้เงินและดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 23,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 มีนาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 มีนาคม 2543) ต้องไม่เกิน 3,962,301.35 บาท และหากโจทก์ได้รับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ขอรับชำระหนี้ในคดีขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ในคดีหมายเลขแดงที่ ลฟ.8/2542 (ที่ถูกคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.8/2542) ของศาลล้มละลายกลางเพียงใด ก็ให้นำมาหักจากหนี้ของโจทก์ในคดีนี้เพียงนั้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติไว้ว่าบริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ออกตั่วสัญญาใช้เงิน ให้แก่โจทก์โดยมีบริษัทปัญจพล พัลพ์ อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) และจำเลยเป็นผู้รับอาวัล โจทก์นำตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.8/2542 ของศาลล้มละลายกลาง คดีระหว่าง ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ที่ 1 กับพวก ผู้ร้องขอ บริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ลูกหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการในมูลหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นเงินทั้งสิ้น 24,654,109.59 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 23,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งฟื้นฟูกิจการเป็นต้นไปจนกว่าจะได้รับชำระหนี้เสร็จจากบริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ลูกหนี้ ศาลล้มละลายกลางเห็นชอบกับคำสั่งดังกล่าว ปัญหาข้อแรกที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยรับอาวัลตั๋วเงินสัญญาใช้เงินตามฟ้องเป็นการที่กรรมการจำเลยกระทำนอกวัตถุประสงค์ของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ตามหนังสือรับรองระบุวัตถุประสงค์ของจำเลยในข้อ (4) คือ การรับออกโอน และสลักหลังตั๋วเงินหรือตราสารที่เปลี่ยนมือได้อย่างอื่น และตามข้อ (35) ประกอบธุรกิจบริการรับค้ำประกันหนี้สิน ความรับผิด และการปฏิบัติตามสัญญาของบุคคลอื่น ดังนั้น การที่จำเลยรับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องซึ่งเป็นการค้ำประกันอย่างหนึ่ง จึงเป็นการกระทำตามวัตถุประสงค์ของจำเลยแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อสองที่จำเลยฎีกาว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินและดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่กำหนดอัตราร้อยละ 16 ต่อปี เป็นโมฆะหรือไม่ เห็นว่า การออกตั๋วสัญญาใช้เงินและผู้ออกคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16 ต่อปี เป็นการตกลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 911, 968 (1) ประกอบด้วยมาตรา 985 ซึ่งกฎหมายมิได้วางข้อจำกัดอันใดไว้จึงแล้วแต่คู่กรณีจะตกลงกัน จึงมิใช่การให้กู้ยืมเงินตามความหมายของพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 การที่ระบุอัตราดอกเบี้ยไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ก็มิใช่กรณีเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราอันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ตั๋วสัญญาใช้เงินและดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องจึงไม่เป็นโมฆะดังที่จำเลยเข้าใจ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อสามที่จำเลยฎีกามีว่า หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินระงับไปโดยการแปลงหนี้ใหม่แล้วหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการของบริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด เป็นการเปลี่ยนวัตถุซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้เป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 นั้น เห็นว่า เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.8/2542 เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทปัญจพลเปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ลูกหนี้แล้ว โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นกิจการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ซึ่งโจทก์ก็เบิกความยืนยันว่ายังไม่ได้รับชำระหนี้จากบริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ข้อนี้จำเลยก็ไม่นำสืบโต้แย้งว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้แล้ว หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องจึงยังไม่ระงับ การยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการดังกล่าวเป็นเพียงวิธีการตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ เมื่อหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินยังไม่ระงับ จำเลยผู้ค้ำประกันด้วยอาวัลจึงต้องร่วมรับผิดกับบริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ผู้ออกตั๋วด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาข้อสี่ที่จำเลยฎีกามีว่า โจทก์เป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปยื่นขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูการแล้ว โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินอีกต่อไป เห็นว่า บริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ออกตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องให้แก่โจทก์ เมื่อถึงกำหนดใช้เงินปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้รับชำระเงิน ต่อมาบริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้ศาลมีคำสั่งฟื้นฟูกิจการ การที่โจทก์นำตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการดังกล่าวเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 บัญญัติไว้ โจทก์มิได้มอบหรือโอนสิทธิอันเกิดแต่ตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องให้แก่ผู้ใด โจทก์จึงยังคงเป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินมีอำนาจฟ้องจำเลยผู้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินตามตั๋วได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการสุดท้ายตามฎีกาของจำเลยมีว่า โจทก์ยื่นตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องให้ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่าเมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องถึงกำหนดชำระโจทก์นำไปยื่นเพื่อเรียกเก็บเงิน ณ ที่ทำการของบริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด และเรียกเก็บเงินจากจำเลยซึ่งสถานที่ทำการของบริษัทดังกล่าว และของจำเลยตั้งอยู่ที่เดียวกันมีกรรมการชุดเดียวกันแม้ตอนตอบคำถามค้านโจทก์จะเบิกความว่า นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปยื่นให้นายสุพจน์ซึ่งเป็นผู้ลงชื่อในตั๋วสัญญาใช้เงินและเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ณ ที่ทำการของบริษัทดังกล่าวก่อนตั๋วสัญญาใช้เงินจะถึงกำหนด แต่โจทก์ได้เบิกความตอบคำถามติงยืนยันว่าโจทก์ทวงถามด้วยวาจา และได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปมอบให้กับนายสุพจน์เมื่อตั๋วถึงกำหนดใช้เงิน ฝ่ายจำเลยคงมีนายสุพจน์เบิกความเพียงว่า โจทก์ไม่เคยเอาตั๋วสัญญาใช้เงินมายื่นกับนายสุพจน์ แต่นายสุพจน์รับว่าเป็นกรรมการของทั้งสามบริษัทคือ บริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด บริษัทปัญจพล พัลพ์ อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) และจำเลยตั๋วสัญญาใช้เงินนายสุพจน์รับว่าลงชื่อในช่องผู้ออกตั๋ว และผู้อาวัลทั้งสองคน ผู้ออกตั๋วและผู้อาวัลมีที่ทำการอยู่ที่เดียวกัน ทั้งเบิกความรับว่ามูลหนี้เดิมก่อนที่จะมีการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ก็เป็นหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินเหมือนกัน เป็นการออกตั๋วสัญญาใช้เงินใหม่ชำระหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเก่า เห็นว่า เมื่อนำจำนวนเงินที่ระบุในตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งมีถึง 23,000,000 บาท มาพิจารณาประกอบคำเบิกความของโจทก์และคำรับของนายสุพจน์พยานจำเลยแล้ว น่าเชื่อว่าโจทก์ได้เบิกความไปตามความจริงเพราะไม่มีเหตุผลใดที่โจทก์จะไม่นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปยื่นให้ผู้จ่ายและผู้อาวัลทั้งสองใช้เงินตามตั๋วเมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวถึงกำหนดเพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีการออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่แทนฉบับเดิม เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ตามหนังสือรับรองว่า ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ในวันที่ 28 มีนาคม 2543 ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2543 คดีหมายเลขแดงที่ ฟ.8/2542 ให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด และต่อมาวันที่ 11 ตุลาคม 2542 โจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ โดยนำตั๋วสัญญาใช้เงินมาขอรับชำระหนี้ดังกล่าว พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ยื่นตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องให้ผู้จ่ายและผู้อาวัลทั้งสองใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน แต่ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ตามที่ระบุในตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น ปรากฏว่าในคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการของบริษัทปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ลูกหนี้ นายสมยศเป็นผู้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ดังกล่าวตามหนังสือมอบอำนาจ โจทก์ระบุอัตราดอกเบี้ยที่ขอรับชำระหนี้ไว้ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โดยในบัญชีแนบท้ายคำขอรับชำระหนี้ ระบุในช่องหมายเหตุว่า ลูกหนี้มิได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ให้เมื่อครบกำหนดในวันที่ 1 มีนาคม 2542 แต่ได้มีการตกลงทางวาจาว่า อัตราดอกเบี้ยใหม่จะเป็นร้อยละ 15 ต่อปี ในตารางรายละเอียดการคำนวณหนี้ แผ่นที่ 3 ก็มีหมายเหตุข้อความเดียวกันนี้โดยโจทก์ลงชื่อในช่องเจ้าหนี้เอง ดังนั้น จำเลยผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งจะต้องร่วมรับผิดกับบริษัท ปัญจพล เปเปอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ผู้ออกตั๋วแก่โจทก์ จึงต้องรับผิดในต้นเงิน 23,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ด้วย หาใช่ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ไม่ ที่ศาลล่างพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับดอกเบี้ยให้จำเลยชำระในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนอกจากนี้แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share