คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 106/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านหลังจากถูกฟ้องคดีล้มละลายแล้วโดยจำเลยทราบดีว่าตนยังเป็นหนี้เจ้าหนี้รายอื่นและมีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้ได้ การชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้าน แม้จะเป็นไปตามสัญญาก็เป็นเหตุให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่น แม้จำเลยจะชำระหนี้ให้เจ้าหนี้รายอื่นด้วย แต่จำนวนที่ชำระหนี้ไม่เสมอภาคกัน ถือว่าการชำระหนี้แต่ละราย เป็นเหตุให้เจ้าหนี้แต่ละคนได้เปรียบเสียเปรียบกัน การเพิกถอนการชำระหนี้เป็นไปโดยผลของคำสั่งหรือคำพิพากษาตราบใดยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนก็ยังเป็นการชำระหนี้โดยชอบ กรณียังถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้แต่งทนายความแก้ฎีกาศาลฎีกาย่อมไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้เป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2524 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย ตามทางสอบสวนของผู้ร้องได้ความว่า เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2525 วันที่ 5 และวันที่ 20 สิงหาคม 2525 จำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านเจ้าหนี้รายที่ 4 รวมเป็นเงิน 514,000 บาท จำเลยได้ชำระหนี้ดังกล่าวหลังจากที่ถูกฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นเวลาที่จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว คดีนี้มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้รวม 5 ราย ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้รวมเป็นเงิน 11,881,294.76 บาทแต่ทรัพย์สินของจำเลยที่ผู้ร้องรวบรวมได้มีประมาณ 6,100,000 บาทเท่านั้น การชำระหนี้ดังกล่าวทำให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวและให้ผู้คัดค้านคืนเงินจำนวน 514,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านบางส่วนโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ด้วยความจำเป็นตามปกติแห่งการประกอบกิจการและเพื่อประโยชน์ของจำเลย มิได้มุ่งหมายให้ได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่น ทั้งได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้รายอื่นด้วย หนี้ที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้5 รายจำนวนหนี้น้อยกว่าจำนวนทรัพย์สินของจำเลยที่ผู้ร้องรวบรวมได้การชำระหนี้ดังกล่าวจึงไม่ทำให้เจ้าหนี้รายอื่น ๆ เสียเปรียบขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้จำนวน 514,000บาท ระหว่างจำเลยผู้ชำระหนี้กับผู้คัดค้านผู้รับชำระหนี้ให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม และให้ผู้คัดค้านคืนเงินจำนวน 514,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ในเบื้องต้นว่า หลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว จำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านรวมเป็นเงิน 514,000 บาทปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านประการแรกว่า การชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านดังกล่าวทำให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่นหรือไม่ ตามทางนำสืบของผู้ร้องได้ความว่า หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว ผู้ร้องได้รวบรวมหนี้สินและทรัพย์สินของจำเลยปรากฏว่ามีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้5 ราย คือโจทก์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด กรมส่งเสริมสหกรณ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรเชียงใหม่ และชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยรวมเป็นเงิน 11,880,000 บาท ส่วนทรัพย์สินนั้นจำเลยมีที่ดิน1 แปลงตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 192ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ และได้จำนองไว้รวม 3 อันดับ นายอุ่นเรือน พุทธมาจารย์หรือพุฒมาจารย์พยานผู้ร้องและผู้คัดค้านเบิกความว่า ที่ดินดังกล่าวได้ถูกยึดและขายทอดตลาดได้เงิน 6,000,000 บาทเศษ เท่านั้น เห็นว่าขณะที่จำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านทั้ง 3 ครั้งนั้น จำเลยย่อมทราบได้ว่า จำเลยยังเป็นหนี้เจ้าหนี้รายอื่นอีก 4 ราย จำนวนมากน้อยเท่าใดและมีทรัพย์สินไม่พอที่จะชำระหนี้ได้ ทั้งนี้เพราะจำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านหลังจากถูกฟ้องคดีล้มละลายแล้ว ดังนั้นเมื่อจำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านจึงทำให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่น ๆ ที่ผู้คัดค้านอ้างเหตุว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้รายอื่น ๆ ด้วย และการชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านเป็นไปตามสัญญาไม่อาจรับฟังได้เพราะแม้จำเลย ชำระหนี้ให้เจ้าหนี้รายอื่นด้วย แต่จำนวนที่ชำระหนี้ไม่เสมอภาคกันถือว่าการชำระหนี้แต่ละรายเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ได้เปรียบเสียเปรียบกัน ผู้คัดค้านอ้างอีกประการหนึ่งว่า ที่ดินของจำเลยสามารถขายได้ราคาสูงกว่าหนี้สินนั้น เห็นว่า หากเป็นเช่นนี้ ผู้คัดค้านน่าจะหาผู้อื่นมาซื้อที่ดินดังกล่าว แต่ก็ปรากฏว่าผู้คัดค้านไม่ได้หาผู้ใดมาซื้อที่ดินของจำเลย ข้ออ้างของผู้คัดค้านจึงฟังไม่ขึ้น
ผู้คัดค้านฎีกาอีกประการหนึ่งว่า คำร้องขอเพิกถอนการชำระหนี้เป็นคำคู่ความที่ไม่ถูกต้องอ่านไม่เข้าใจ เป็นเรื่องที่ผู้ร้องมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 และมาตรา 27 ศาลฎีกาได้ตรวจคำร้องขอเพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว เห็นว่ามีการพิมพ์ผิดพลาดเกี่ยวกับจำนวนหนี้ที่ศาลอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เท่านั้น ส่วนข้อความอื่นถูกต้องบริบูรณ์ข้อผิดพลาดดังกล่าวหาใช่สาระสำคัญไม่ ฎีกาข้อนี้ของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้นเช่นกัน อนึ่งที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ผู้คัดค้านเสียดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องยังไม่ถูกต้อง เพราะการเพิกถอน การชำระหนี้เป็นไปโดยผลของคำพิพากษา ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาให้เพิกถอนก็ยังเป็นการชำระหนี้โดยชอบอยู่ ถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วันยื่นคำร้องผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ ปัญหานี้แม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกาขึ้นมาแต่ศาลฎีกาเห็นว่าคดีล้มละลายเป็นคดีที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษามา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ในส่วนดอกเบี้ยให้ผู้คัดค้านชำระนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ผู้ร้องไม่ได้แต่งทนายความแก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.

Share