คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 402/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันที่เกิดเหตุชนกับรถของโจทก์ การส่งหมายนัดให้แก่จำเลยที่ 2 ที่บ้านเลขที่ 24 หมู่ที่ 11 ตำบลเขาสวนกวางอำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น ไม่พบจำเลยที่ 2 คงพบแต่ภรรยาจำเลยที่ 2 แจ้งว่าจำเลยที่ 2 ชื่อนายประกิตศิริโคจรสมบัติไม่ใช่ประจำ ศิริโคจรสมบัติ ตามที่ปรากฏในฟ้องและหมายนัดต่อมาจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ปรากฏว่านายประกิตอยู่ที่บ้านเลขที่ 24 หมู่ที่ 4 ตำบลเขาสวนกวางอำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น และนายประกิต กับจำเลยที่ 1ได้ร่วมกันเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว ถือได้ว่าโจทก์บรรยายฟ้องตรงตามทางพิจารณา คงระบุชื่อผิดจากนายประกิตเป็นนายประจำไป ผู้รับผิดที่แท้จริงคือเจ้าของรถยนต์บรรทุก แม้โจทก์จะไม่ได้แก้ชื่อให้ถูกต้อง แต่ในฟ้องก็บรรยายให้เจ้าของรถยนต์บรรทุกรับผิดอยู่แล้ว นายประกิตเจ้าของรถยนต์บรรทุกที่แท้จริงต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์บรรยายฟ้องว่า รถของโจทก์บรรทุกน้ำปลาเพื่อไปส่งลูกค้า ลูกจ้างของจำเลยขับรถชนรถโจทก์โดยละเมิด เมื่อรถโจทก์ถูกชน รถโจทก์เสียหายหลายประการ รวมทั้งน้ำปลา ขวดน้ำปลาและลังบรรจุน้ำปลาแตกหักเสียหาย ฟ้องโจทก์พอเข้าใจแล้วว่าน้ำปลาและลังซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์เสียหายเนื่องจากการกระทำละเมิดของลูกจ้างจำเลย ส่วนโจทก์จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายในฐานะใดเป็นเรื่องรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกยี่ห้ออีซูซุหมายเลขทะเบียน 80-3537 นครราชสีมา จำเลยที่ 1และที่ 2 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกยี่ห้ออีซูซุหมายเลขทะเบียน 80-5263 ขอนแก่น เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2529นายบุญธรรมลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มาในทางการที่จ้าง โดยขับด้วยความประมาทชนรถโจทก์พลิกคว่ำ รถของโจทก์ น้ำปลาและขวดน้ำปลาที่บรรทุกมาได้รับความเสียหาย คิดเป็นค่าเสียหายในการซ่อมแซมรถ ค่าขาดประโยชน์ในการใช้รถระหว่างซ่อมแซม ค่าเสื่อมสภาพของรถ และค่าน้ำปลากับขวดน้ำปลาที่แตกหักเสียหาย ค่าจ้างลากรถเป็นเงินทั้งสิ้น107,510 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้าง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 107,510 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 107,510 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-3537 นครราชสีมาและค่าเสียหายของน้ำปลาที่รถคันดังกล่าวบรรทุกมาเพราะเหตุว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถคันดังกล่าวและน้ำปลาที่เสียหายในขณะเกิดเหตุคดีนี้ ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับน้ำปลาที่เสียหายนั้นเคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายให้ทราบว่า อาศัยอำนาจและสิทธิอย่างไรจึงนำคดีมาฟ้องเรียกร้องจากจำเลย จึงเป็นฟ้องที่มิชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 มิใช่เจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน 80-5263 ขอนแก่น และผู้ขับรถคันดังกล่าวมิใช่ลูกจ้างปฏิบัติงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ในขณะเกิดเหตุคดีนี้ ดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมด้วยรถบรรทุกคันดังกล่าวไม่เคยเกิดเหตุชนรถยนต์โจทก์ตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวอ้าง ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 เนื่องจากการเกิดเหตุในวันดังกล่าว เหตุที่เกิดขึ้นในคดีนี้มิใช่ความประมาทของผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-5263ขอนแก่น หากแต่เกิดจากความประมาทของผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน80-3537 นครราชสีมาเอง ค่าซ่อมแซมรถโจทก์นั้นไม่เกิน 3,000 บาทรถของโจทก์ซ่อมเสร็จภายในเวลาไม่เกิน 5 วัน และไม่มีค่าขาดประโยชน์เพราะระหว่างการซ่อมนั้นยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ และหลังจากซ่อมเสร็จแล้วย่อมทำให้รถของโจทก์มีสภาพดีกว่าก่อนเกิดเหตุคดีนี้ จึงไม่มีความเสื่อมสภาพแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายส่วนนี้จากจำเลยที่ 1 ค่าน้ำปลาที่เสียหายไม่เกิน500 บาท
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เป็นเงิน 72,200 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่านายประกิต ศิริโคจรสมบัติต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่นั้น ได้ความว่ารถยนต์บรรทุกยี่ห้ออีซูซุหมายเลขทะเบียน 80-5263 ขอนแก่น นายประกิตได้เช่าซื้อร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งตรงกับที่โจทก์บรรยายฟ้องให้จำเลยที่ 2เจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียนดังกล่าวรับผิดต่อโจทก์แต่ระบุชื่อว่าเป็นนายประจำซึ่งผิดจากความจริงไปเท่านั้นผู้รับผิดที่แท้จริงคือเจ้าของรถยนต์บรรทุก เมื่อบรรยายฟ้องไว้ถูกต้อง แต่ระบุชื่อผิดไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เสียไป หรือเป็นการฟ้องผิดคน แม้โจทก์จะไม่ได้แก้ชื่อให้ถูกต้อง แต่ในฟ้องก็บรรยายให้เจ้าของรถยนต์บรรทุกสิบล้อรับผิดอยู่แล้ว นายประกิตเจ้าของรถยนต์บรรทุกสิบล้อที่แท้จริงต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ และการส่งหมายนัดปรากฏว่าได้ส่งไปตามฟ้องบ้านเลขที่ 24 หมู่ที่ 11 ตำบลเขาสวนกวาง อำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น เจ้าพนักงานศาลยังบันทึกว่าพบภรรยานายประกิตและภรรยาแจ้งว่าจำเลยที่ 2 ชื่อนายประกิต ที่นายประกิตอ้างว่าอยู่หมู่ที่ 4 มิใช่หมู่ 11ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยที่ 2 จะอยู่หมู่ที่ 4 จริง อันจะทำให้การส่งหมายนัดให้จำเลยที่ 2 ผิดจากภูมิลำเนาที่เป็นจริงของจำเลยที่ 2 การส่งหมายนัดให้จำเลยที่ 2 ไปยังสถานที่ดังกล่าวชอบแล้วปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ ฟังว่ารถยนต์คันดังกล่าวนายประกิตและจำเลยที่ 1 เข้าหุ้นกันซื้อจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดเกี่ยวกับรถคันดังกล่าวปัญหาต่อไปว่าฟ้องโจทก์ในเรื่องเกี่ยวกับน้ำปลาเคลือบคลุมและโจทก์เรียกค่าเสียหายของน้ำปลาได้หรือไม่ เห็นว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่ารถของโจทก์บรรทุกน้ำปลาเพื่อไปส่งลูกค้า เมื่อรถโจทก์ถูกชนรถโจทก์เสียหายหลายประการ รวมทั้งน้ำปลา ขวดน้ำปลาและลังบรรจุน้ำปลาแตกหักเสียหาย จึงพอเข้าใจแล้วว่าน้ำปลาและลังซึ่งอยู่ในความครอบครองของโจทก์เสียหายเนื่องจากการกระทำละเมิดของลูกจ้างจำเลย ส่วนโจทก์จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายในฐานะใดเป็นเรื่องรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้ไม่เคลือบคลุม สำหรับปัญหาว่าโจทก์เรียกค่าเสียหายของน้ำปลาได้หรือไม่ วินิจฉัยว่าเชื่อได้ว่าน้ำปลาเป็นของโจทก์โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดแก่น้ำปลาและลังบรรจุน้ำปลาได้ และฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า ฝ่ายจำเลยเป็นผู้ประมาทและค่าเสียหายตามที่ศาลล่างกำหนด ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share