แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายในคดีข่มขืนชำเราให้การไว้ในชั้นสอบสวน แต่โจทก์นำมาเบิกความในชั้นศาลไม่ได้เพราะไปจากบ้านหาตัวไม่พบ ศาลรับฟังประกอบกับพยานโจทก์และคำรับของจำเลยชั้นสอบสวนลงโทษจำเลยได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 4 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276, 278, 284 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ไม่ลงโทษกระทงข่มขืนชำเรา และแก้โทษ โจทก์ฎีกาในความผิดฐานข่มขืนชำเรา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ในระหว่างการสืบพยานของศาลชั้นต้นโจทก์ได้ส่งบันทึกของพนักงานสอบสวนลงวันที่ 7 มีนาคม 2520 ซึ่งมีความว่าผู้เสียหายเคยมาศาลตามหมายเรียกในคดีนี้แล้วถึง 2 ครั้ง แต่ศาลเลื่อนการสืบพยานไป ต่อมาผู้เสียหายทะเลาะกับน้องสาวแล้วถูกมารดาดุด่าเกิดน้อยเนื้อต่ำใจหลบหนีออกจากบ้าน ได้พยายามติดตามหลายจังหวัดแล้วไม่พบ เมื่อเป็นเช่นนี้โจทก์จึงส่งคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายโดยร้อยตำรวจเอกสมคิดประเสริฐประศาสน์ มาเบิกความประกอบ ปรากฏว่าผู้เสียหายได้ให้การชั้นสอบสวนว่าพอเดินห่างจากท้ายรถราว 4-5 เมตร ชาย 5 คน (จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6) เข้ารุมล็อคคอจับตัวผู้เสียหาย ผู้เสียหายออกกำลังดิ้น คนหนึ่งล็อคคอ นอกนั้นรุมจับแขนจับขาแล้วช่วยกันอุ้มผู้เสียหายไปนอนหงายตรงพื้นกระดานท้ายรถ แล้วมีเสียงพูดว่าอย่าทำบนรถ พอดีมีรถแล่นผ่านมาคันหนึ่งขณะถูกจับกดนอนอยู่และถูกเอามืออุดปากไว้ และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ได้ผลัดกันกอดจูบกระทำชำเราผู้เสียหายคนละ 1 ครั้ง ซึ่งตรงกับพยานโจทก์ปากอื่น ๆ ที่ได้กล่าวมาในเรื่องถูกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ข่มขืนกระทำชำเรา ทั้งได้มีการชี้ตัวผู้ต้องหาทีสถานีตำรวจซึ่งผู้เสียหายยืนยันชี้ตัวจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ได้โดยถูกต้อง ผู้เสียหายได้นำพนักงานสอบสวนไปชี้ที่เกิดเหตุ ได้ทำบันทึกและลงชื่อไว้ตามเอกสารหมาย จ.9รวมทั้งให้พนักงานสอบสวนถ่ายภาพผู้เสียหายแสดงการนำชี้ที่เกิดเหตุรวม 6 ภาพตามเอกสารหมาย จ.10 ผู้เสียหายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองใด ๆ กับพวกจำเลยเหล่านี้มาก่อน ไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าจะแกล้งปรักปรำโดยไร้ความจริงคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย บันทึกชี้สถานที่เกิดเหตุ ตลอดจนภาพถ่ายเมื่อนำมาประกอบกับพยานโจทก์ที่เบิกความต่อศาลแล้วเป็นที่รับฟังได้ร้อยตำรวจโทประทิน ทิพย์สุข ผู้จับจำเลยทั้ง 6 คนเบิกความว่า เมื่อถึงสถานีตำรวจแล้ว พยานสอบถามปากคำเพื่อจะทำบันทึกการจับกุมต่อหน้าร้อยตำรวจเอกสมคิด พนักงานสอบสวน จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 รับสารภาพว่าได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจริง ปรากฏตามบันทึกเอกสารหมาย จ.2 จึงเป็นหลักฐานสำคัญอีกประการหนึ่ง ส่วนการตรวจอวัยวะเพศนั้น แพทย์บันทึกว่าเยื่อพรหมจารีไม่มีเหลือติดอยู่ ได้นำน้ำเหลวในช่องคลอดไปตรวจไม่พบน้ำอสุจิ ไม่สามารถบอกได้ว่ามีการกระทำชำเราหรือไม่ เรื่องนี้เห็นว่าผู้เสียหายให้การชั้นสอบสวนว่าเมื่อ 2 ปีมาแล้วถูกข่มขืนกระทำชำเรา 1 ครั้ง แต่มิได้แจ้งความเพราะจำคนร้ายไม่ได้ แต่การข่มขืนกระทำชำเราครั้งนี้ เมื่อผู้เสียหายกลับไปบ้านปรากฏว่าร่างกายสกปรก ที่ง่ามขาและอวัยวะเพศเปรอะน้ำอสุจิ จึงใช้น้ำล้างทำความสะอาดทั้งภายนอกตลอดจนในช่องคลอดรุ่งขึ้นเช้าก็ได้ชำระล้างช่องคลอดอีกครั้งหนึ่งจนเกลี้ยงสะอาด เมื่อเป็นเช่นนี้การตรวจอวัยวะเพศของแพทย์ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานอย่างใดจึงไม่เป็นข้อสำคัญ การนำสืบของฝ่ายจำเลย ได้นำสืบพัวพันเข้ามาในเหตุการณ์เกี่ยวแก่เรื่องที่ได้นั่งรถยนต์ร่วมไปกับผู้เสียหาย โดยนายธิเบศเป็นผู้ขับ เพียงแต่ปฏิเสธลอย ๆ ว่ามิได้กระทำผิดดังโจทก์ฟ้อง และลงชื่อในบันทึกที่สถานีตำรวจโดยไม่ทราบข้อความเท่านั้น จึงไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในลักษณะอันเป็นการโทรมหญิงดังโจทก์ฟ้องจริงที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในข้อหาดังกล่าว ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 อีกกระทงหนึ่ง จำเลยทั้ง 3 อายุไม่เกิน 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ให้จำคุกคนละ 5 ปี จำเลยทั้ง 3 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งสาม เฉพาะกระทงนี้มีกำหนดคนละ 3 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”