แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้พรากเด็กหญิงผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277,317,90 ซึ่งมิได้มีรายละเอียดให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษทุกกรรม ทั้งอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 มาด้วย ดังนี้แม้ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์กับข่มขืนกระทำชำเรา อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลจะลงโทษจำเลยในแต่ละกรรมนอกเหนือจากคำฟ้องและคำขอของโจทก์หาได้ไม่ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ โดยให้ลงโทษในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตาม มาตรา 317 วรรคสาม กรรมเดียว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโดยปราศจากเหตุอันสมควรได้พรากเด็กหญิงทัศนีย์ ปทาน ผู้เสียหายซึ่งมีอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร โดยจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายไปที่บ้านและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่โดยผู้เสียหายไม่ยินยอม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 317, 90
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาเด็กหญิงทัศนีย์ ปทาน ผู้เสียหาย โดยนายมิโด๊ด ปทาน บิดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 317 วรรคสาม ให้เรียงกระทงลงโทษ ข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา จำคุก 6 ปี ข้อหาพรากผู้เยาว์จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 11 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลงโทษจำเลยหลายกรรมเพราะทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมมานั้น เห็นว่า ตามฟ้องโจทก์มิได้มีรายละเอียดให้เห็นว่าโจทก์มีความประสงค์ให้ลงโทษทุกกรรมทั้งโจทก์อ้างประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 มาด้วย ดังนี้ ศาลจะลงโทษจำเลยแต่ละกรรมนอกเหนือจากคำฟ้องและคำขอของโจทก์และโจทก์ร่วมหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรมจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีการฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม กรรมเดียว จำคุก 5 ปี