แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยได้แยกกันอยู่โดยมิได้อยู่กินฉันสามีภรรยาตั้งแต่ พ.ศ. 2531 ระหว่างที่โจทก์แยกไปนั้นจำเลยเองก็ทราบดีกว่าโจทก์ไปพักอยู่ที่ใดแต่จำเลยก็มิได้ขวยขวายที่จะไปอยู่กันฉันสามีภรรยา โดยต่างคนต่างอยู่นับถึงวันฟ้องเป็นเวลานานถึง 6 ปี ตามพฤติการณ์ฟังได้ว่าจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้ คดีนี้จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งคือวันที่5 เมษายน 2537 จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่จำเลยเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องคือวันที่ 14 มกราคม 2537จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่จำเลยฟ้องแย้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์อยู่กันฉันสามีภรรยาและจดทะเบียนสมรสกับจำเลยเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2519 โดยอยู่กันที่บ้านเลขที่ 33/395ถนนโชคชัย 4 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของร่วมกับพี่สาวและน้องสาวของจำเลย ต่อมาประมาณเดือนมกราคม 2531 จำเลยด่าว่าดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรงพร้อมกับขับไล่โจทก์ออกจากบ้าน โจทก์จึงออกไปพักอาศัยอยู่ที่อื่นตั้งแต่นั้นมา โจทก์และจำเลยต่างฝ่ายต่างสมัครใจแยกกันอยู่จนถึงขณะยื่นฟ้องเป็นเวลานานเกินกว่า 3 ปี แล้ว โจทก์และจำเลยไม่อาจจะอยู่กินฉันสามีภรรยาร่วมกันได้โดยปกติสุข ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์และจำเลยอยู่กินฉันสามีภรรยาและมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือนายธีรฤทธิ์ กลางกัลยา อายุ 16 ปีจำเลยไม่เคยดูหมิ่นเหยียดหยามโจทก์ ไม่เคยไล่โจทก์ออกจากบ้านของจำเลย โจทก์และจำเลยแยกกันอยู่โดยความสมัครใจของโจทก์ฝ่ายเดียวจำเลยไม่ได้สมัครใจด้วย โจทก์มีหน้าที่อุปการะดูแลเลี้ยงดูบุตร จึงขอค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรในอัตราเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะและขอให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ให้การฟ้องแย้งว่า ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรที่จำเลยเรียกร้องมาในอัตราเดือนละ 5,000 บาท นั้น เป็นจำนวนเงินที่สูงเกินกว่าความจำเป็น โจทก์สามารถที่จะจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้ในอัตราเดือนละ 2,000 บาท ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย และให้จำเลยแต่ผู้เดียวเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองนายธีรฤทธิ์ กลางกัลยา บุตรผู้เยาว์ให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่จำเลยในอัตราเดือนละ5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมิได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์นั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์จำเลยได้แยกกันอยู่โดยมิได้อยู่กินฉันสามีภรรยาตั้งแต่ พ.ศ. 2531 ระหว่างที่โจทก์แยกไปนั้นจำเลยเองก็ทราบดีว่าโจทก์ไปพักอยู่ที่ใด แต่จำเลยก็มิได้ขวนขวายที่จะไปอยู่กินฉันสามีภรรยา โดยต่างคนต่างอยู่นับถึงวันฟ้องคือวันที่ 14 มกราคม2537 เป็นเวลานานถึง 6 ปี ตามพฤติการณ์ฟังได้ว่าจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้
อนึ่ง คดีนี้จำเลยฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งคือวันที่5 เมษายน 2537 จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่จำเลยเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องคือวันที่ 14 มกราคม 2537 จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ และศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืนเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่จำเลยฟ้องแย้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่จำเลยในอัตราเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันที่ 5 เมษายน 2537 ซึ่งเป็นวันฟ้องแย้งจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว