คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 339/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่3เป็นภริยาของจำเลยที่1ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือให้ความยินยอมระบุว่าจำเลยที่3ยินยอมให้จำเลยที่1คู่สมรสของตนทำนิติกรรมทุกอย่างกับโจทก์ได้จึงถือว่าจำเลยที่3ได้ร่วมรับรู้หนี้ที่จำเลยที่1ได้ก่อให้เกิดขึ้นตามสัญญากู้เงินและจำเลยที่3ได้ให้สัตยาบันในหนี้ดังกล่าวหนี้ตามสัญญากู้เงินจึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยที่3ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1490(4)จำเลยที่1และจำเลยที่3ต้องรับผิดใช้หนี้ร่วมกันต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน137,974.42 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีจากต้นเงิน 83,015.73 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 137,974.42 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 83,015.73 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยเพียงข้อเดียวตามที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 3 เป็นลูกหนี้ร่วมต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 3ซึ่งเป็นภริยาของจำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมในหนังสือให้ความยินยอมเอกสารหมาย จ.7 โดยระบุว่าจำเลยที่ 3ยินยอมให้จำเลยที่ 1 คู่สมรสของจำเลยที่ 3 ทำนิติกรรมทุกอย่างกับโจทก์ได้ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมรับรู้หนี้ที่จำเลยที่ 1ได้ก่อให้เกิดขึ้นตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 และจำเลยที่ 3ได้ให้สัตยาบันในหนี้ดังกล่าว หนี้ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4จึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490(4) ซึ่งจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3ต้องรับผิดใช้หนี้ร่วมกันต่อโจทก์ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1และที่ 2 ชำระเงินจำนวน 137,974.42 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 83,015.73 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

Share