คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2832/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยไม่ได้ยื่นใบแต่งทนายตั้ง ม. ให้เป็นทนายของจำเลยต่อศาลชั้นต้น ดังนั้น คำอุทธรณ์ของจำเลยซึ่ง ม. ลงชื่อในฐานะทนายจำเลยโดยไม่ได้ยื่นใบแต่งทนายเข้ามาในสำนวนย่อมเป็นฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ แต่การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยมานั้นเป็นเรื่องผิดระเบียบ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นจัดการให้จำเลยลงชื่อในฐานะผู้อุทธรณ์ในคำฟ้องอุทธรณ์เสียให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคแรกประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 การที่ ม. ยื่นคำร้องและใบมอบฉันทะให้เสมียนทนายฟังคำพิพากษาและถ่ายคำพิพากษาแทน ม. ในฐานะทนายจำเลย ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตโดยไม่ปรากฏว่ามีใบแต่งทนายที่จำเลยตั้ง ม. เป็นทนายจำเลยยื่นเข้ามาในสำนวนเป็นเหตุให้ ม. เข้าใจว่าจำเลยยื่นใบแต่งทนายตั้ง ม. เป็นทนายต่อศาลชั้นต้นแล้ว จึงได้ทำคำฟ้องอุทธรณ์ยื่นต่อศาลโดยไม่ได้ยื่นใบแต่งทนายเข้ามาเสียให้ถูกต้อง และเมื่อศาลชั้นต้นตรวจรับอุทธรณ์ก็ไม่ได้ทักท้วงว่า จำเลยมิได้ยื่นใบแต่งทนายตั้งม. เป็นทนายจำเลย เพื่อคืนคำฟ้องอุทธรณ์ให้จำเลยไปทำมาใหม่หรือแก้ไขเสียให้ถูกต้อง พฤติการณ์ของ ม. ดังกล่าวเห็นได้ว่ามิใช่จำเลยจงใจประวิงคดีหรือเอาเปรียบในเชิงคดี จึงมีเหตุอันสมควรที่จะสั่งให้จำเลยแก้ไขข้อผิดระเบียบนั้นเสียก่อน การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจพิพากษายกคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่สั่งให้จำเลยแก้ไขข้อผิดระเบียบนั้นเสียก่อน จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่สมควรศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ดุลพินิจศาลอุทธรณ์เสียใหม่ ให้ศาลชั้นต้นจัดการให้จำเลยลงชื่อในคำฟ้องอุทธรณ์ในฐานะผู้อุทธรณ์ แล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลรัษฎากร มาตรา 83, 92พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2508มาตรา 18, 21
จำเลยทั้งสี่สำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่สำนวนมีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 83 วรรคสอง, 92 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2508 มาตรา 18, 21ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 คำสั่งกรมสรรพากรที่ กค.0809/11147เรื่องให้ผู้ประกอบการค้าแจ้งมูลค่าทางสินค้ารถยนต์และรถจักรยานยนต์ลงวันที่ 26 กันยายน 2509 รวม 98 กรรม เรียงกระทงลงโทษ ให้ปรับกระทงละ 6,000 บาท รวมปรับ 588,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
จำเลยทั้งสี่สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยมีนายมานะพิทยาภรณ์ ทนายความลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์ แต่ไม่ปรากฏในสำนวนว่าจำเลยได้แต่งตั้งบุคคลผู้นี้เป็นทนายจำเลยไว้ ดังนั้นนายมานะ พิทยาภรณ์ จึงไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใช้สิทธิในการอุทธรณ์แทนจำเลยได้ คำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่สำนวนจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ไม่ได้ พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยทั้งสี่สำนวน
จำเลยทั้งสี่สำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตตามคำร้องของทนายจำเลย ฉบับลงวันที่ 22 และ 24 พฤศจิกายน 2533แล้ว ย่อมแสดงว่าศาลชั้นต้นได้ตรวจใบแต่งทนายที่จำเลยตั้งนายมานะ พิทยาภรณ์ เป็นทนายของจำเลยแล้ว จำเลยจึงยืนยันว่าได้ยื่นใบแต่งทนายตั้งนายมานะเป็นทนายจำเลยแล้วที่ใบแต่งทนายจำเลยไม่ปรากฏในสำนวนอาจจะเกิดการสูญหาย มีผู้กลั่นแกล้งดึงออกจากสำนวนหรือตกหล่นก็ได้ เพราะสำนวนของศาลชั้นต้นในแต่ละวันมีจำนวนมากนั้นเห็นว่า จำเลยกล่าวอ้างเลื่อนลอยไม่ได้ยืนยันโดยชัดแจ้งว่ายื่นวันเวลาใด ไม่มีสำเนาใบแต่งทนายเป็นหลักฐานประกอบข้อกล่าวอ้างนายมานะยื่นคำร้องประกอบใบมอบฉันทะให้เสมียนทนายมาฟังคำพิพากษาและถ่ายคำพิพากษาแทนเป็นครั้งแรกในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2533ไม่ปรากฏว่ามีใบแต่งทนายที่จำเลยตั้งนายมานะเป็นทนายของจำเลยอยู่ในสำนวนศาลชั้นต้น เลขอันดับ รายการจำนวนแผ่นตามสารบาญก็ตรงกับสำนวน หากจำเลยยื่นใบแต่งทนายพร้อมคำร้องในวันดังกล่าวใบแต่งทนายย่อมจะต้องถูกกลัดรวมไว้ในสำนวนพร้อมคำร้องและใบมอบฉันทะดังกล่าว ไม่มีเหตุที่จะสูญหายด้วยเหตุดังที่จำเลยคาดเดาและโยนความผิดให้ผู้อื่นอย่างง่าย ๆ เช่นนั้น ข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่าจำเลยได้ยื่นใบแต่งทนายตั้งนายมานะให้เป็นทนายของจำเลยต่อศาลชั้นต้นแล้ว ดังนั้นคำอุทธรณ์ของจำเลยซึ่งนายมานะลงชื่อในฐานะทนายจำเลยโดยไม่ได้ยื่นใบแต่งทนายเข้ามาในสำนวนศาลย่อมเป็นฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ แต่การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยมานั้นเป็นเรื่องผิดระเบียบศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นจัดการให้จำเลยลงชื่อในฐานะผู้อุทธรณ์ในคำฟ้องอุทธรณ์เสียให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคแรก ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่ใช้ดุลพินิจให้จำเลยแก้ไขข้อผิดระเบียบเสียก่อนจึงมีปัญหาว่าเป็นการใช้ดุลพินิจที่สมควรแล้วหรือไม่ เห็นว่า นายมานะยื่นคำร้องและใบมอบฉันทะให้เสมียนทนายฟังคำพิพากษาและถ่ายคำพิพากษาแทนนายมานะในฐานะทนายจำเลย ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตโดยไม่ปรากฏว่ามีใบแต่งทนายที่จำเลยตั้งนายมานะเป็นทนายจำเลยยื่นเข้ามาในสำนวน เป็นเหตุให้นายมานะเข้าใจว่าจำเลยยื่นใบแต่งทนายตั้งนายมานะเป็นทนายจำเลยต่อศาลชั้นต้นแล้ว จึงได้ทำคำฟ้องอุทธรณ์ยื่นต่อศาลโดยไม่ได้ยื่นใบแต่งทนายเข้ามาเสียให้ถูกต้อง และเมื่อศาลชั้นต้นตรวจรับอุทธรณ์ก็ไม่ปรากฏว่าได้ทักท้วงว่า จำเลยมิได้ยื่นใบแต่งทนายตั้งนายมานะเป็นทนายจำเลยเพื่อคืนคำฟ้องอุทธรณ์ให้จำเลยไปทำมาใหม่หรือแก้ไขเสียให้ถูกต้อง พฤติการณ์ของนายมานะดังกล่าวเห็นได้ว่ามิใช่จำเลยจงใจประวิงคดีหรือเอาเปรียบในเชิงคดี จึงมีเหตุอันสมควรที่จะสั่งให้จำเลยแก้ไขข้อผิดระเบียบนั้นเสียก่อนการที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจพิพากษายกคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่สั่งให้จำเลยแก้ไขข้อผิดระเบียบนั้นเสียก่อน จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่สมควร ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ดุลพินิจศาลอุทธรณ์เสียใหม่ ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในข้ออื่นอีกต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นจัดการให้จำเลยลงชื่อในคำฟ้องอุทธรณ์ในฐานะผู้อุทธรณ์ แล้วส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่

Share