แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปืนของกลางเป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2500 เมื่อพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2501 ออกใช้และรัฐมนตรีได้ออกกฎกระทรวงกำหนดให้ปืนชนิดนี้เป็นปืนที่ใช้เฉพาะแต่ในการสงครามแล้ว เจ้าของก็มิได้นำไปมอบให้กับนายทะเบียนท้องที่ตามมาตรา 10 ปืนนี้จึงเป็นของมีไว้เป็นความผิดอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32 จำเลยรับฝากปืนนี้ไว้จากเจ้าของก็ต้องมีความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ลงโทษปรับจำเลยตามศาลชั้นต้น จำเลยฎีกาว่าเป็นของกลางไม่ใช่ปืนเล็กยาวแบบ 83 ซึ่งใช้เฉพาะแต่ในการสงครามศาลอุทธรณ์วินิจฉัยผิดจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน เป็นการโต้เถียงคำวินิจฉัยและดุลพินิจของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท้จจริง ต้องห้ามฎีกา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนเล็กยาวแบบ ๘๓ ขนาด ๗.๖๒ ซึ่งเป็นอาวุธปืนสำหรับใช้เฉพาะแต่ในการสงครา ตามกฎกระทรวงไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต และมีกระสุนปืน ๑๓ นัดไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒, ๕๕, ๗๘ ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๐๑ มาตรา ๕,๘ กฎกระทรวงฉบับที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๐๑ ข้อ ๓ ข. และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การว่า ปืนเป็นของนายนาวินซึ่งมีใบอนุญาตเอามาทิ้งไว้บ้านจำเลย
ศาลชั้นต้นฟังว่าปืนและกระสุนปืนของกลางจำเลยรับฝากไว้จากนายนาวิน ปืนนี้เป็นปืนที่ใช้เฉพาะแต่ในการสงคราม แต่จำเลยไม่ทราบว่าเป็นปืนชนิดนี้ จึงไม่ต้องรับผิดหนักขึ้น พิพากษาปรับจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ กฎกระทรวงฉบับที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๐๑ ข้อ ๓ ข. ปืนและกระสุนปืนให้ริบ
จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียว
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า ปืนของกลางเป็นปืนเมาเซอร์ไรเฟิลของนายนาวิน มีใบอนุญาตจึงเป็นปืนที่ชอบด้วยกฎหมาย หาใช่เป็นปืนเล็กยาวแบบ ๘๓ ซึ่งใช้เฉพาะแต่ในการสงครามไม่ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยผิดจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนและที่นายนาวิน เอาปืนฝากไว้โดยจะมาเอาในวันรุ่งขึ้น ไม่ถือว่าจำเลยเป็นผู้มีอาวุธปืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อที่ว่าการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าปืนของกลางเป็นปืนเล็กยาวแบบ ๘๓ เป็นการวินิจฉัยผิดไปจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนนั้น เป็นการโต้เถียงคำวินิจฉัยและดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘
นายนาวินได้รับอนุญาตให้มีปืนนี้ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มิได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าอย่างใดเรียกว่าอาวุธปืนที่ใช้เฉพาะแต่ในการสงครามต่อมามีพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ พ.ศ. ๒๕๐๑ บัญญัติให้รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดว่าอย่างใดเป็นอาวุธปืนที่ใช้แต่เฉพาะในการสงคราม รัฐมนตรีก็ได้ออกกฎกระทรวงฉบับที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๐๑ ข้อ (๓) ข. ได้กำหนดว่า ปืนเล็กยาวแบบ ๘๓ ขนาด ๖.๕ ม.ม. และ ๗.๖๒ ม.ม. เป็นปืนที่ใช้เฉพาะแต่ในการสงคราม ปืนของกลางฟังได้ว่าเป็นปืนที่ใช้แต่เฉพาะในการสงครามจริง พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๐๑ มาตรา ๑๐ บัญญัติว่า ถ้าผู้มีอาวุธปืนดังกล่าวนำไปมอบให้กับนายทะเบียนท้องที่ภายใน ๙๐ วัน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ ฉะนั้น ปืนนี้จะต้องนำไปมอบตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อเจ้าของมิได้นำไปมอบ ปืนนี้ก็เป็นของมีไว้เป็นความผิดอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒ จำเลยรับฝากไว้ไม่ว่าจะเป็นเวลานานสักเท่าใด ต้องฟังว่ามีไว้ในครอบครองแล้ว ที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยและริบของกลางนั้นชอบแล้ว พิพากษายืน