แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
นายจ้างประกอบกิจการหลายอย่างแต่เกี่ยวข้องกัน ต้องกำหนดรหัสประเภทกิจการเพื่อเรียกเก็บเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนเพียงรหัสเดียว โดยพิจารณาจากกิจการหลักของนายจ้างผู้นั้น โจทก์ประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และมีโรงงานกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย จึงเป็นการประกอบกิจการหลายอย่างเกี่ยวข้องกัน เมื่อฟังได้ว่ากิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเป็นกิจการหลักกิจการทั้งหมดของโจทก์จึงต้องใช้รหัส 1502 การที่สำนักงานกองทุนเงินทดแทนกำหนดรหัสผิดไปทำให้โจทก์ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนเพิ่มขึ้นย่อมทำให้โจทก์ขาดประโยชน์อันควรได้จากเงินที่ต้องนำไปวางตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกรมแรงงานจำเลยจึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยของเงินส่วนที่วางเกินไปนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ได้จ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนโดยใช้รหัส 1502 “การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง” ตลอดมา ต่อมาสำนักงานกองทุนเงินทดแทนได้กำหนดรหัสประเภทกิจการของโจทก์เป็น 0607 “การกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง” ซึ่งไม่ถูกต้องทำให้โจทก์เสียหาย เพราะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้น 735,390.10 บาท โจทก์จึงยื่นอุทธรณ์ คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนชี้ขาดว่า กิจการโจทก์อยู่ในรหัส 0607 ซึ่งไม่ถูกต้อง ขอให้พิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดอุทธรณ์ของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน และมีคำสั่งให้โจทก์เสียเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน ในรหัส 1502 ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินที่โจทก์ชำระเกินไปพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ประกอบกิจการทั้งผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นกิจการต่อเนื่องเกี่ยวข้องกัน ไม่สามารถกำหนดว่ากิจการใดเป็นกิจการสุดท้าย กิจการใดมีลูกจ้างเท่าใด การกำหนดรหัสและอัตราเงินสมทบจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว กรณีไม่เป็นละเมิด จำเลยจึงไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดอุทธรณ์ของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน และให้โจทก์เสียเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนในรหัส 1502 ทั้งหมดให้จำเลยคืนเงิน 735,390.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง อัตราและวิธีเรียกเก็บเงินสมทบการจ่ายเงินทดแทนของสำนักงานกองทุนเงินทดแทนและการอุทธรณ์หมวด 2 วิธีเรียกเก็บเงินสมทบ ข้อ 7 แล้ว ข้อความในวรรค 1 มีความหมายว่า ถ้านายจ้างประกอบกิจการอย่างเดียว หรือหลายอย่างแต่เกี่ยวข้องกัน ต้องกำหนดรหัสประเภทกิจการเพียงรหัสเดียว โดยพิจารณาจากกิจการหลักของนายจ้างผู้นั้น โจทก์ประกอบกิจการค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่าง ๆ และมีโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย จึงเป็นการประกอบกิจการหลายอย่างเกี่ยวข้องกัน ซึ่งต้องพิจารณาว่ากิจการใดเป็นกิจการหลัก โจทก์นำสืบว่ากิจการหลักของโจทก์เป็นการประกอบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงมา 30 ปีแล้ว การผลิตที่โรงกลั่นน้ำมัน อำเภอศรีราชา เป็นกิจการบางส่วนของโจทก์โรงกลั่นดังกล่าวผลิตน้ำมันเบนซิน น้ำมันหล่อลื่น จารบี และน้ำมันบางชนิดไม่ได้ โจทก์ต้องซื้อจากที่อื่น กิจการค้าของโจทก์อยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีคนงานประมาณ 800 คน โจทก์จ่ายค่าจ้างปีละประมาณ 51,000,000 บาท โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ศรีราชามีคนงานประมาณ 150 คน โจทก์จ่ายค่าจ้างปีละประมาณ 14,000,000 บาท จำเลยมิได้นำสืบหักล้างข้อความดังกล่าว ดังนี้จึงฟังได้ว่ากิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงของโจทก์เป็นกิจการหลัก ส่วนกิจการผลิตหรือกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงที่อำเภอศรีราชามิใช่กิจการหลักของโจทก์ ที่จำเลยฎีกาว่ากรณีนี้ต้องบังคับตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง อัตราและวิธีเรียกเก็บเงินสมทบฯ ข้อ 7 วรรค 3 ไม่ใช่วรรค 1 นั้น เห็นว่า ข้อความในวรรค 3 บัญญัติถึงกรณีที่นายจ้างประกอบกิจการผลิต หรือประกอบและจำหน่าย สำนักงานกองทุนเงินทดแทนจะต้องกำหนดรหัสประเภทกิจการเพียงอย่างหนึ่งอย่างใดแต่เพียงอย่างเดียว ข้อความที่เป็นปัญหาอยู่ที่คำว่า”ประกอบและจำหน่าย” จะมีความหมายประการใด ศาลฎีกาเห็นว่า คำว่า”ประกอบ” หมายถึงนำชิ้นส่วนที่ผู้อื่นผลิตมาประกอบแล้วจำหน่ายสิ่งที่ประกอบนั้นไปไม่ใช่หมายถึง “ประกอบการผลิต” ดังที่บัญญัติไว้ในตอนต้นของวรรค 3 มิฉะนั้นก็จะขัดกับข้อความในตอนท้ายของวรรค 3 เอง ซึ่งแยกคำว่า “ผลิต” และ “ประกอบ” เป็นคนละคำ ส่วนคำว่า “และจำหน่าย” ย่อมหมายถึงการจำหน่ายสินค้าที่ประกอบขึ้นได้เท่านั้น ไม่ได้หมายความถึงสินค้าที่ซื้อมาจากที่อื่นแล้วจำหน่ายไปด้วยดังเช่นกรณีของโจทก์นี้ เพราะกรณีเช่นนี้หากเป็นการประกอบกิจการหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกันก็บังคับตามวรรค 1 หากไม่เกี่ยวข้องกันก็บังคับตามวรรค 2 อยู่แล้ว หากวรรค 3 มีความหมายอย่างที่จำเลยฎีกาว่าหมายถึงการผลิตและจำหน่ายสินค้าใด ๆก็ได้แล้ว ก็จะเป็นการบัญญัติซ้ำกับวรรค 1 และวรรค 2 ด้วยเหตุนี้ กิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่าง ๆ กับการกลั่นน้ำมันของโจทก์จึงต้องใช้รหัส 1502 ซึ่งต้องชำระเงินทดแทนในอัตราร้อยละ 0.6 ของค่าจ้าง ไม่ใช่รหัส 0607 ซึ่งต้องชำระเงินทดแทนในอัตราร้อยละ 1.5 ของค่าจ้าง คำสั่งของหัวหน้าสำนักงานกองทุนเงินทดแทนและคำสั่งชี้ขาดของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนจึงไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเพราะไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า โจทก์ต้องเสียเงินค่าทดแทนเพิ่มขึ้นย่อมทำให้โจทก์ขาดประโยชน์อันควรได้จากเงินค่าทดแทนที่ต้องนำไปวางตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในดอกเบี้ย
พิพากษายืน