แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์เมื่อ พ.ศ.2512 โจทก์ชำระราคาแล้วบางส่วน วันที่ 7 เมษายน 2518 โจทก์จำเลยไปยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินด้วยกัน การที่จำเลยยื่นคำขอดังกล่าวก็เพื่อจะดำเนินการโอนที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญา ถือได้ว่าจำเลยทำการอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่า จำเลยยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีอยู่ต่อจำเลยตามสัญญาจะซื้อจะขายแล้ว จึงเป็นการรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 ซึ่งมีผลให้อายุความสะดุดหยุดลง เมื่อเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2518 ถึงวันที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ยังไม่เกิน 10 ปี คดียังไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์ในราคา ๑๐,๐๐๐ บาท โจทก์ชำระราคาแล้ว ๙,๐๐๐ บาท โจทก์ขอให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ให้แต่จำเลยขอผัดผ่อนเรื่อยมา เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๑๘ จำเลยไปยื่นคำขอแบ่งแยกโฉนดเพื่อโอนที่พิพาทขายให้โจทก์ แต่ต่อมาจำเลยกลับบอกเลิกสัญญา ขอศาลพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนขายที่พิพาทให้โจทก์ในราคา ๑๐,๐๐๐ บาท หากจำเลยไม่ยอมไป ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์ในราคา ๑๐,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๑๒ จำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์ในราคา ๑๐,๐๐๐ บาท จำเลยได้รับชำระค่าที่ดินจากโจทก์ ๒ ครั้ง เป็นเงิน ๙,๐๐๐ บาท คงเหลือค่าที่ดินอีก ๑,๐๐๐ บาท และจำเลยได้ไปยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอแบ่งแยกโฉนดเพื่อโอนที่พิพาทขายให้โจทก์ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๑๘ แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ดังนี้ โจทก์ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ เมื่อนับจากวันทำสัญญาจะซื้อจะขาย คือวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๑๒ ถึงวันฟ้องจึงเกินกำหนดเวลา ๑๐ ปี คดีจึงมีปัญหาว่าการที่จำเลยไปยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอแบ่งแยกโฉนดขายที่พิพาทให้โจทก์เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๒๒ นั้น ถือว่าเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์หรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า ในวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๑๘ นั้น โจทก์จำเลยไปยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินด้วยกัน และการที่จำเลยไปยื่นคำขอรังวัดแบ่งโฉนดที่ดินดังกล่าวก็เพื่อจะดำเนินการโอนที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายนั่นเอง การที่จำเลยกระทำการดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยได้ทำการอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่า จำเลยยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีอยู่ต่อจำเลยตามสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทแล้ว จึงเป็นการรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๐ ซึ่งมีผลให้อายุความสะดุดหยุดลง เมื่อเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๑๘ ถึงวันฟ้อง ยังไม่เกินกำหนด ๑๐ ปี ฟ้องโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน