แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ร่วมทั้งสองบรรยายในคำร้องสอดว่า โจทก์ร่วมทั้งสองเป็นบิดามารดา ส. จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเฉี่ยวชนกับรถยนต์กระบะที่ ส. ขับ เป็นเหตุให้ ส. ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ดังกล่าว โจทก์ร่วมทั้งสองต้องขาดไร้อุปการะ โจทก์ร่วมทั้งสองเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี จึงยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (2) ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ร่วมทั้งสองได้รับค่าขาดไร้อุปการะดังที่โจทก์ทั้งสามเรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสามตามคำขอท้ายฟ้อง เห็นได้ว่าโจทก์ร่วมทั้งสองบรรยายคำร้องว่า การกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ร่วมทั้งสองขาดไร้อุปการะ จึงยื่นคำร้องสอดเข้ามาเพื่อยังให้ได้รับความรับรองหรือบังคับตามสิทธิของตนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) ซึ่งมีผลเท่ากับโจทก์ร่วมทั้งสองได้ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีเรื่องใหม่ โดยไม่ได้อาศัยสิทธิของโจทก์ทั้งสามแต่ประการใด แม้โจทก์ร่วมทั้งสองจะกล่าวในท้ายของคำร้องสอดว่า ขอให้พิพากษาให้โจทก์ร่วมทั้งสองมีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะ ดังที่โจทก์ทั้งสามเรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสามตามคำขอท้ายฟ้อง ก็มีความหมายเพียงว่า โจทก์ร่วมทั้งสองเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยทั้งสามเท่ากับที่โจทก์ทั้งสามเรียกร้อง หาใช่โจทก์ร่วมทั้งสองไม่ได้เรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะในส่วนของโจทก์ร่วมทั้งสองแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ร่วมทั้งสองชอบแล้ว ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 984,150 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 972,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา นายผ่อง และนางสมฤทธิ์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ร่วมทั้งสองยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2551 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80 – 3079 ฉะเชิงเทรา ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยประมาท เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถยนต์ที่นายสมบัติ ขับมาเป็นเหตุให้นายสมบัติถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันต้องร่วมรับผิดด้วย โจทก์ร่วมทั้งสองเป็นบิดามารดาของนายสมบัติจึงขาดไร้ผู้อุปการะ ขอให้พิพากษาให้โจทก์ร่วมทั้งสองมีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะดังที่โจทก์ทั้งสามเรียกร้องจากจำเลยทั้งสามตามคำขอท้ายฟ้อง
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การแก้คำร้องสอด
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การแก้คำร้องสอดขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสาม 972,000 บาท ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ร่วมที่ 1 จำนวน 280,000 บาทและร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ร่วมที่ 2 จำนวน 220,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 972,000 บาท 280,000 บาท และ 220,000 บาท นับแต่วันที่ 27 มีนาคม 2551 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดเป็นเงิน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 มีนาคม 2551 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสามโดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ร่วมทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสาม 962,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 มีนาคม 2551 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องสำหรับโจทก์ร่วมทั้งสองค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ร่วมทั้งสองกับจำเลยทั้งสามในศาลชั้นต้นและค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสามและโจทก์ร่วมทั้งสองกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80 – 3079 ฉะเชิงเทรา จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุน รถยนต์คันดังกล่าวโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้เอาประกันภัยจำนวนเงินที่เอาประกันภัย 350,000 บาท เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2551 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80 – 3079 ฉะเชิงเทรา ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเฉี่ยวชนกับรถยนต์กระบะที่นายสมบัติ ขับมาเป็นเหตุให้นายสมบัติถึงแก่ความตาย โจทก์ร่วมทั้งสองเป็นบิดามารดานายสมบัติ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งสองว่า จำเลยทั้งสามต้องรับผิดชำระค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ร่วมทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ในประเด็นนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ตามคำร้องสอดเข้าเป็นโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมทั้งสองไม่ได้เรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะในส่วนของโจทก์ร่วมทั้งสอง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ร่วมทั้งสองเกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 พิพากษายกฟ้องโจทก์ร่วมทั้งสอง โจทก์ร่วมทั้งสองฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในประเด็นนี้ เห็นว่า โจทก์ร่วมทั้งสองบรรยายในคำร้องสอดว่า โจทก์ร่วมทั้งสองเป็นบิดามารดานายสมบัติ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80 – 3079 ฉะเชิงเทรา ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเฉี่ยวชนกับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บน 6359 ฉะเชิงเทราที่นายสมบัติขับ เป็นเหตุให้นายสมบัติถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80 – 3079 ฉะเชิงเทรา การกระทำของจำเลยที่ 1ทำให้โจทก์ร่วมทั้งสองต้องขาดไร้อุปการะ โจทก์ร่วมทั้งสองเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี จำต้องยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีนี้เพื่อยังให้ได้รับความรับรองหรือบังคับตามสิทธิของโจทก์ร่วมทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (2) ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ร่วมทั้งสองได้รับค่าขาดไร้อุปการะดังที่โจทก์ทั้งสามเรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสามตามคำขอท้ายฟ้อง แม้ตามคำร้องสอดโจทก์ร่วมทั้งสองจะขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม แต่เห็นได้ว่าโจทก์ร่วมทั้งสองบรรยายคำร้องว่า การกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ร่วมทั้งสองขาดไร้อุปการะ โจทก์ร่วมทั้งสองจึงยื่นคำร้องสอดเข้ามาเพื่อยังให้ได้รับความรับรองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่เป็นการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ซึ่งมีผลเท่ากับโจทก์ร่วมทั้งสองได้ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีเรื่องใหม่ โดยไม่ได้อาศัยสิทธิของโจทก์ทั้งสามแต่ประการใด แม้โจทก์ร่วมทั้งสองจะได้กล่าวในท้ายของคำร้องสอดว่า ขอให้พิพากษาให้โจทก์ร่วมทั้งสองมีสิทธิได้รับค่าขาดไร้อุปการะ ดังที่โจทก์ทั้งสามเรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสามตามคำขอท้ายฟ้อง ก็มีความหมายเพียงว่า โจทก์ร่วมทั้งสองเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยทั้งสามเท่ากับที่โจทก์ทั้งสามเรียกร้อง หาใช่โจทก์ร่วมทั้งสองไม่ได้เรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะในส่วนของโจทก์ร่วมทั้งสองแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าขาดไร้อุปการะแก่โจทก์ร่วมทั้งสองชอบแล้ว ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์ร่วมทั้งสองไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ร่วมทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ร่วมที่ 1 จำนวน 280,000 บาท และร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ร่วมที่ 2 จำนวน 220,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 27 มีนาคม 2551 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิด 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 มีนาคม 2551 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ