แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรณีการจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 นั้น ระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดให้จ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลรู้ได้เอง โจทก์จะต้องกล่าวอ้างหรือนำสืบให้ศาลรู้ถึงระเบียบนั้นด้วย มิฉะนั้นศาลย่อมสั่งจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับไม่ได้
การที่ศาลชั้นต้นยกคำขอให้จ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับเพราะเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจขอ โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มีอำนาจขอ และศาลต้องจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีอำนาจขอแต่โจทก์มิได้นำสืบหรือแนบระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดมาท้ายฟ้องให้ศาลรู้ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้ยกคำขอนั้นเสียได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันทำการประมงจับปลาน้ำจืดโดยใช้ตะแกรงลวดและกระแสไฟฟ้า มีผู้ประสงค์รับบำเหน็จนำจับนำพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ในขณะกระทำผิดพร้อมด้วยของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 20, 62 ทวิ, 69 71พระราชบัญญัติการประมงแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 105 ข้อ 2, 4, 5 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2515 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ริบของกลาง และจ่ายเงินบำเหน็จ แก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลดโทษฐานรับสารภาพแล้วกึ่งหนึ่ง จำคุกจำเลยคนละ 3 เดือน ปรับคนละ 2,500 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ริบของกลาง ส่วนที่โจทก์ขอให้สั่งจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 71 นั้น โจทก์ไม่มีอำนาจขอ เพราะโจทก์ไม่มีสิทธิในสินบนนั้นให้ยกคำขอนี้
โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์มีอำนาจขอให้ศาลสั่งจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิดพ.ศ. 2489 มาตรา 6, 7, 8 และ 9 และศาลต้องจ่ายบำเหน็จ แก่ผู้นำจับตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด แต่ไม่เกินสองพันบาท ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 71 และขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจขอให้ศาลจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดตามพระราชบัญญัติการประมงพ.ศ. 2490 มาตรา 71 แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบหรือแนบระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดมาท้ายฟ้อง ศาลจึงไม่รู้ว่ารัฐมนตรีได้กำหนดระเบียบไว้อย่างไร จะต้องจ่ายบำเหน็จให้ผู้นำจับเป็นเงินเท่าใด ศาลจึงไม่อาจสั่งจ่ายบำเหน็จได้ โทษที่ศาลชั้นต้นลงแก่จำเลยก็พอสมควรแก่ความผิดแล้ว พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นยกคำขอให้จ่ายบำเหน็จแก่ผู้นำจับเพราะเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจขอ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีอำนาจขอก็ควรสั่งให้จ่ายบำเหน็จแก่ผู้นำจับ ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำขอเพราะเหตุที่โจทก์ไม่ได้นำสืบหรือแนบระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดมาท้ายฟ้องให้ศาลรู้เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์ ทั้งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 71 ได้กล่าวถึงระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ด้วย ศาลต้องรู้ระเบียบนั้นเอง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นยกคำขอให้จ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับ เพราะเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจขอ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีอำนาจขอ แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบหรือแนบระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดมาท้ายฟ้องให้ศาลรู้ ให้ยกคำขอนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยเช่นนั้นได้ เพราะการจ่ายบำเหน็จตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด ศาลต้องรู้ถึงระเบียบนั้น ถ้าศาลไม่รู้ก็ย่อมสั่งจ่ายให้ไม่ได้ เนื่องจากพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 71 บัญญัติว่า “ผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัตินี้ต้องจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด แต่ต้องไม่เกินสองพันบาทและต้องชดใช้เงินซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการไปตามมาตรา 59 ในกรณีที่ศาลลงโทษผู้กระทำผิด ให้ศาลพิพากษาให้ผู้กระทำผิดชำระเงินดังกล่าวแล้ว ถ้าไม่ชำระให้จัดการตามมาตรา 18 แห่งกฎหมายลักษณะอาญา โดยถือเสมือนว่าเป็นค่าปรับ” ตามมาตรานี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดให้จ่ายบำเหน็จให้แก่ผู้นำจับไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลรู้ได้เอง โจทก์ต้องกล่าวอ้างหรือนำสืบให้ศาลรู้ถึงระเบียบนั้นด้วย เมื่อโจทก์มิได้ปฏิบัติเช่นนี้ ศาลย่อมสั่งจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับไม่ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน