คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 175/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรค 2 มีความหมายชัดเจนอยู่แล้วว่า ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่คู่ความผู้อุทธรณ์ประสงค์จะยกขึ้นเป็นข้อคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ระบุไว้ในอุทธรณ์ การที่จำเลยระบุในอุทธรณ์เพียงว่า ขอให้ถือเอาคำแถลงปิดสำนวนในศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิจารณาวินิจฉัยมาแล้วเป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์ เป็นการอ้างถึงเอกสารฉบับอื่น แม้จะอยู่ในสำนวนก็มิใช่การระบุข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายในอุทธรณ์ อุทธรณ์เช่นนี้ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรค 2ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยในส่วนนี้จึงเป็นการชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้รับมอบหมายจากนางอำไพให้เป็นผู้เก็บค่าเช่านาจากผู้เช่านาของนางอำไพเป็นข้าวเปลือก จำเลยได้เก็บค่าเช่านาสำหรับปี 2513 จากผู้เช่านารวม 22 ราย ได้ค่าเช่านาเป็นข้าวเปลือกจำนวน 6,630 ถัง ราคา 62,985 บาท และจำเลยได้เก็บรักษาข้าวเปลือกจำนวนดังกล่าวไว้เพื่อรอคำสั่งจากนางอำไพในการจัดการต่อไป ต่อมาจำเลยได้เบียดบังเอาข้าวเปลือกดังกล่าวไปเป็นของจำเลย โดยจำเลยนำไปขายเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยโดยทุจริต และโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนางอำไพ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาข้าวเปลือกแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
นางอำไพผู้เสียหายได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วม
ศาลชั้นต้นฟังว่าข้าวเปลือกค่าเช่านาที่จำเลยเก็บไว้นั้น เป็นของผู้เสียหาย จำเลยได้เบียดบังเอาเป็นของตนโดยทุจริต พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ลงโทษจำคุก 6 เดือนให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่โจทก์ร่วม
จำเลยอุทธรณ์ โดยขอให้ถือเอาคำแถลงปิดสำนวนฉบับลงวันที่3 พฤศจิกายน 2514 ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา เป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์ของจำเลยและอุทธรณ์ว่าเมื่อที่นาเป็นของผู้อื่น จะฟังว่าข้าวเปลือกค่าเช่านาเป็นของโจทก์ร่วมไม่ได้ ไม่ชอบด้วยเหตุผลและหลักกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ขอให้ถือเอาคำแถลงปิดสำนวนฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2514 เป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์ด้วยนั้น เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 วรรค 2 จึงไม่รับพิจารณา ส่วนข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จะรับฟังว่าข้าวเปลือกเป็นของโจทก์ร่วมไม่ได้นั้นศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า แม้ที่นาจะโอนไปเป็นของผู้อื่น ข้าวในนาหาจำต้องเป็นของผู้อื่นไปด้วยไม่ และเชื่อว่าข้าวเปลือกเป็นของผู้เสียหาย การรับฟังดังกล่าวไม่ขัดต่อเหตุผลและหลักกฎหมาย จำเลยก็รับรองสิทธิในข้าวเปลือกว่าเป็นของโจทก์ร่วมตลอดมา พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ขอให้ถือเอาคำแถลงปิดสำนวนเป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์ เป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาข้อแรกว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 วรรค 2 บัญญัติว่า “อุทธรณ์ทุกฉบับต้องระบุข้อเท็จจริงโดยย่อหรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงเป็นลำดับ” มีความหมายชัดเจนอยู่แล้วว่า ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่คู่ความผู้อุทธรณ์ประสงค์จะยกขึ้นเป็นข้อคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ระบุไว้ในอุทธรณ์ การที่จำเลยระบุในอุทธรณ์เพียงว่า ขอให้ถือเอาคำแถลงปิดสำนวนในศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิจารณาวินิจฉัยมาแล้ว เป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์ เป็นการอ้างถึงเอกสารฉบับอื่น แม้จะมีอยู่ในสำนวนก็มิใช่การระบุข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายในอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ในส่วนนี้ชอบแล้ว
ส่วนปัญหาว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายหรือไม่ วินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าข้าวเปลือกเป็นของโจทก์ร่วม จำเลยฎีกาว่า นาเป็นของผู้อื่นซึ่งมิใช่โจทก์ร่วม ย่อมตกอยู่ในข้อสันนิษฐานว่าข้าวเปลือกเป็นของผู้อื่นนั้น จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษายืน

Share