แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้เช่าที่ดินของผู้ร้องขัดทรัพย์ปลูกตึก ๆ ย่อมเป็นส่วนควบของที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 107 จำเลยมีสิทธิอยู่ในตึกนี้ได้ ก็อาศัยสัญญาเช่าที่ดิน และตึกนี้ย่อมตกเป็นของผู้ร้องไปในตัวตามระยะเวลาที่ตกลงกัน ฉะนั้น เมื่อจำเลยจะโอนตึกรายนี้ ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเมื่อไร ไม่จำต้องไปทำการโอนจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
(อ้างฎีกา 561/2488)
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์เจ้าหนี้ ตามคำพิพากษายึดตึกเฉพาะชั้นที่ ๓ ของตึกสามชั้น ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินของผู้ร้อง อ้างว่าเป็นของจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่า จำเลยเช่าที่ดินของผู้ร้องปลูกตึกรายนี้ ค่าเช่าเดือนละ ๘๐๐ บาท เมื่อสร้างตึกเสร็จแล้วจำเลยไม่สามารถทำการค้าในตึกชั้นที่ ๓ และไม่มีเงินจะให้ค่าเช่าที่ดิน จึงทำสัญญายกตึกชั้นที่ ๓ ให้แก่ผู้ร้อง ๆ ได้ครอบครองตึกชั้นที่ ๓ ตลอดมา
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้โอนตึกชั้นที่ ๓ ให้แก่ผู้ร้องแล้ว จึงได้ถอนการยึดทรัพย์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยยังไม่ได้โอนตึกให้แก่ผู้ร้อง พิพากษากลับให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องเสีย
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตึกสามชั้นรายนี้ตามธรรมดาย่อมเป็นส่วนควบของที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๐๗ หากแต่ว่าอาศัยสัญญาเช่าที่ดินระหว่างผู้ร้องกับจำเลย จำเลยจึงเพียงได้ชื่อว่ามีสิทธิอยู่ในตึกนี้ชั่วระยะเวลาที่มีสิทธิตามสัญญาเช่าเท่านั้น และตึกรายนี้ย่อมตกเป็นส่วนควบของเจ้าของที่ดินและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องไปในตัวตามระยะเวลาที่ตกลงกัน เมื่อจำเลยจะโอนตึกรายนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเมื่อใด ไม่จำต้องไปทำการโอนจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และข้อเท็จจริงฟังว่า จำเลยได้โอนตึกชั้น ๓ ให้แก่ผู้ร้องแล้ว
พิพากษากลับ ให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไว้ตามคำบังคับของศาลชั้นต้น