คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1729/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ธรรมนูญการปกครองราชอาญาจักรเป็นกฎหมายสูงสุด บทกฎหมายใดที่ขัดกับธรรมนูญการปกครองราชาอาณาจักรย่อมจะนำมาใช้บังคับไม่ได้ คำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาญาจักร จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ใดจะอ้างว่า คำสั่งดังกล่าวขัดต่อกฎหมายนั้น ย่อมฟังไม่ได้
การวินิจฉัยว่าคำสั่งหรือการกระทำชอบด้วยมาตรา 17 หรือไม่นั้น อยู่ที่ความเห็นของนายกรัฐมนตรีโดยมติคณะรัฐมนตรีว่าสมควรต้องมีคำสั่งหรือกระทำ มิได้อยู่ที่มีพฤติการณ์บ่อนทำลายจริงหรือไม่ และมาตรา 17 มิได้ระบุให้ใช้มาตรการเช่นนั้นแก่ผู้กระทำการบ่อนทำลายโดยเฉพาะ แต่ให้ใช่เพื่อระงับหรือปราบปรามการกระทำที่เป็นการบ่อนทำลาย แม้ผู้กระทำการบ่อนทำลายตายไปแล้วแต่ผลแห่งการกระทำยังอยู่ ผู้ได้ร่วมรับผลนั้นด้วยย่อมอยู่ในข่ายแห่งมาตรา 17 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 494/2510)
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้เงินบริษัทบางกอกกระสอบ จำกัด โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ผู้กู้ จำเลยที่ 2 ในฐานะเจ้าของร่วม ในฐานะทายาทและในฐานะผู้จัดการมรดกของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้กู้เงินรายนี้ โดยได้สมรู้ร่วมกันกับบริษัทเจ้าหนี้ปกปิดอำพรางนิติกรรมอันแท้จริงไว้ โดยให้เอาชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้ไว้เป็นพิธี และให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามข้อต่อสู้ของจำเลย การทำสัญญากู้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับบริษัทเจ้าหนี้นั้น ก็เป็นการแสดงเจตนาลวงไว้เท่านั้น โดยทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้กันอยู่แล้วเมื่อนิติกรรมทำขึ้นโดยเจตนาลวง จำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 118
(ข้อกฎหมายวรรคนี้ วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 23,24,25,26,27,28/2512)
สัญญาจำนำไม่จำเป็นต้องเป็นหนังสือ ลูกหนี้ย่อมนำสืบพยานบุคคลได้ว่า ได้มีการมอบใบหุ้นให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นการจำนำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งตามมาตรา ๑๗ แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร ให้บริษัทบางกอกกระสอบจำกัด พ้นสภาพจากการเป็นบริษัท และให้กิจการทรัพย์สินและหนี้สินของบริษัทตกเป็นของรัฐ และให้โจทก์เป็นเจ้าของกิจการ เมื่อครั้งบริษัทบองกอกกระสอบ จำกัดยังไม่พ้นสภาพ จำเลยที่ ๑ ได้กู้เงินบริษัท ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีกำหนด ๑ ปี ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๘ ต่อปี โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน และจำเลยที่ ๒ ขอเอาหุ้นที่ซื้อเพิ่มจากสหธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด เป็นประกันด้วย ครบสัญญาและโจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีอำนาจฟ้อง ความจริงจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้จัดการมรดกได้รับหนังสือเรียกให้ชำระค่าหุ้นบริษัทสหธนาคารกรุงเทพ จำกัด ที่มีสิทธิจะซื้อเพิ่มเติมเป็นจำนวน ๕,๙๖๒,๕๐๐ บาท เพราะจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้ถึงแก่อสัญกรรม เป็นผู้ถือหุ้น ถ้าไม่ชำระหนี้เงินพรอมกับซื้อหุ้นเพิ่ม ธนาคารจะจำหน่ายหุ้นให้แก่ผู้อื่น ขณะนั้นคณะกรรมการสอบสวนทรัพย์สินของรัฐในกองมรดกของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้อายัดเงินของกองมรดกและของจำเลยที่ ๒ ไว้ทั้งหมด จำเลยที่ ๒ ทั้งในฐานะส่วนตัวและผู้จัดการมรดกไม่มีเงินจะซื้อหุ้นได้ จำเลยที่ ๒ ได้ขออนุมัติต่อคณะกรรมการสอบสวน ฯ เพื่อถอนเงินในบัญชีไปซื้อหุ้น แต่คณะกรรมการสอบสวน ฯ ได้อนุมัติ จำเลยที่ ๒ จึงตั้งจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนไปกู้เงินบริษัทบางกองกระสอบ จำกัด ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ได้มีการประชุมกรรมการบริษัทฯ กรรมการเข้าใจเจตนาอันแท้จริงของการกู้ยืมเงินจำนวนนี้ว่า กองมรดกจอมพลสฤษดิ์กู้ แต่ได้เจรจากันของให้เอาชื่อของจำเลยที่ ๑ ลงเป็นผู้กู้ไว้เป็นพิธี เป็นการอำพรางนิติกรรมที่แท้จริงไว้ บริษัทฯ ก็ยินยอม ได้ทำนิติตกรรมอำพรางไว้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้กู้ และจำเลยที่ ๒
ค้ำประกัน ฉะนั้นจำเลยที่ ๑ จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับบริษัทฯ และที่จำเลยที่ ๒ ค้ำประกัน เป็นการกระทำในฐานะผู้จัดการมรดก หนี้รายนี้เป็นหนี้ผูกพันกองมรดกจอมพลสฤษดิ์ มิใช่หนี้ส่วนตัวของจำเลยทั้งสอง และตัดฟ้องว่า ถ้าบริษัทสิ้นสภาพ ก็โอนหนี้ให้รัฐไม่ได้ ทั้งไม่เคยมีการแจ้งโอนหนี้ โจทก์ไม่ใช่เจ้าหนี้
จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ด้วยว่า จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้จัดการมรดกได้นำใบหุ้นที่ซื้อเพิ่มไปเป็นประกันต่อบริษัทบางกอกกระสอบ จำกัด หุ้นมีราคาสูงกว่าหลายเท่าของเงิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท แม้คำสั่งนายกรรัฐมนตรีบังคับได้ บริษัทบางกระสอบ จำกัด โดยคำขอของจำเลยที่ ๒บริษัทหรือโจทก์จะต้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้เอาจากหุ้นซึ่งเป็นประกันจากโจทก์เอง การที่จำเลยที่ ๒ ยอมให้หุ้นของบริษัทสหธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด เป็นประกันหนี้ เป็นการจำนำตามกฎหมาย แต่หากนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีและหรือโจทก์ซึ่งได้ทำลายหลักประกันหรือทรัพย์จำนำเอง โดยออกคำสั่งให้ทรัพย์ของจอมพลสฤษดิ์ และของจำเลยที่ ๒ ตกเป็นของรัฐ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิด
วันชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันบางประการ แล้วศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้เงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ ๑ ใช้ก่อน ถ้าไม่ใช้ให้จำเลยที่ ๒ ให้แทน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาต่อมา
๑. จำเลยฎีกาว่า คำสั่งของนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๗ แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร ที่สั่งให้บริษัทบางกอกกระสอบ จำกัด พ้นสภาพจากการเป็นบริษัท และให้กิจการทรัพย์สินและหนี้สินของบริษัทฯ ตกเป็นของรัฐ ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๓๖,๑๒๓๗ และพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนเพื่อการอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๐๕
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าในระหว่างที่ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรใช้บังคับอยู่นั้นธรรมนูญการปกครองราชอาญาจักรย่อมเป็นกฎหมายสูงสุด บทกฎหมายใดที่ขัดกับธรรมนูญการปกครองย่อมจะนำมาใช้บังคับไม่ได้ คำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๗ แห่งธรรมนูญการปกครอง เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ฉะนั้นจำเลยฎีกาว่า คำสั่งของนายกรัฐมนตรีขัดต่อกฎหมาย จึงเป็นอันตกไป
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า การก่อตั้งบริษัทบางกอกกระสอบ จำกัดนั้น ทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ไม่ใช่เป็นการบ่อนทำลายแต่ประการใด คำสั่งของนายกรัฐมนตรีเป็นการฝ่าฝืนข้อเท็จจริงไม่ชอบ
ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหานี้ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วตามคำพิพากาาฎีกาที่ ๔๙๔/๒๕๑๐ ว่าการวินิจฉัยว่าคำสั่งหรือการกระทำชอบด้วยมาตรา ๑๗ หรือไม่ อยู่ที่ความเห็นของนายกรัฐมนตรีว่าสมควรต้องมีคำสั่งหรือกระทำ มิได้อยู่มีมีพฤติการณ์บ่อนทำลายจริงหรือไม่ และมาตรา ๑๗ มิได้ระบุให้ใช้มาตรการเช่นนั้นแก้ผู้กระทำการบ่อนทำลายโดยเฉฑาะแต่ให้ใช้เพื่อระงับหรือปราบปรามการกระทำที่เป็นการบ่อนทำลาย แม้จอมพลสฤษดิ์ถึงแต่อสัญกรรมไปแล้วและผลของการที่จอมพลสฤษดิ์กระทำไปยังคงอยู่ และโจทก์ได้ร่วมรับผลนั้นด้วย จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ไม่อยู่ในข่ายแห่งมาตรา ๑๗ นั้น
คดีนี้บริษัทบางกอกกระสอบ จำกัด เป็นผู้ได้รับผลจากการกระทำของจอมพลสฤษดิ์ จึงอยู่ในข่ายที่นกยกรัฐมนตรีจะออกคำสั่งตามมาตรา ๑๗ ได้ตามนัยฎีกาดังกล่าว
๒.จำเลยฎีกาว่า สัญญากู้ยืม และสัญญาค้ำประกันตามเอกสารท้ายฟ้อง เป็นนิติกรรมอำพรางใช้บังคับไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ตามข้อต่อสู้ของจำเลยแล้ว การทำสัญญากู้ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับบริษัทบางกอกกระสอบ จำกัด นั้น ก็เป็นการแสดงเจตนาลวงไว้เท่านั้น โดยทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้กันอยู่แล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นผู้กู้แต่ประการใด ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เมื่อนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ ๑ กับบริษัทบางกอกกระสอบ จำกัด ทำขึ้นโดยเจตนาลวงแล้ว จำเลยที่ ๑ ก็ไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๘
ส่วนที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๒ ในฐานะเจ้าของร่วม ในฐานะทายาทและในฐานะผู้จัดการมรดกเป็นผู้กู้เงินรายนี้นั้น ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ ๒ ได้กระทำในฐานะใด ยังไม่สามารถที่จะวินิจฉัยชี้ขาดลงไปได้ว่า จำเลยที่ ๒ จะพ้นความรับผิดตามข้อต่อสู้ของจำเลยหรือไม่ จำเป็นต้องให้จำเลยที่ ๒ นำสืบข้อเท็จจริงต่อไป
๓. จำเลยฎีกาว่า แม้จำเลยที่ ๑-๒ จะต้องรับผิดเป็นส่วนตัวก็ดี แต่จำเลยที่ ๒ ได้เอาใบหุ้นของสหธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด ไปจำนำไว้ ซึ่งใบหุ้นมีราคามากกว่าเงินที่จำเลยกู้มา บริษัทบางกอกกระสอบ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะต้องเอาทรัพย์สินที่จำนำออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ก่อน ซึ่งก็คงเป็นจำนวนเงินเพียงพอ และว่าการที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ริบใบหุ้นเป็นของรัฐนั้น เป็นการทำลายหลักประกันของจำเลย จำเลยไม่ต้องรับผิดในหนี้สินต่อไป
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาจำนำไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือ ฉะนั้นจำเลยจะนำพยานบุคคลสืบว่า ได้มีการมอบใบหุ้นให้บริษัทบางกอกกระสอบ จำกัด ยึดถือไว้เป็นการจำนำ ย่อมนำสืบได้
ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่า บริษัทบางกองกระสอบ จำกัด รับจำนำใบหุ้นไว้เป็นประกันจริง การที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ริบหุ้นซึ่งเป็นหลักประกัน ให้ตกเป็นของรัฐ แล้วรัฐหรือโจทก์มาฟ้องจำเลยให้ชำระเงินกู้จำนวนนี้อีกนั้น จำเลยจะต้องรับผิดเพียงใดหรือไม่นั้น ศาลล่างยังไม่ได้วินิจฉัย ซึ่งเห็นสมควรที่จะให้ได้บังคับ+
ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย สมควรให้ศาลชั้นต้นสืบพยานในประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลย ดังนี้
๑. จำเลยได้กู้เงินจำนวนนี้ไปซื้อหุ้นของสหธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด จริงหรือไม่
๒. การทำสัญญากู้ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับบริษัทบางกอกกระสอบ จำกัด เป็นเจตนาลวงหรือไม่
๓. จำเลยที่ ๒ ค้ำประกันในฐานะอะไร
๔. ได้เอาใบหุ้นไปจำนำไว้จริงหรือไม่ และ
๕. ใบหุ้นที่ถูกริบไปทั้งหมดมีราคาเท่าใด
โดยให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นดังกล่าวแล้วพิพากษาใหม่

Share