แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กระทงความผิด ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยกระทำเพียงกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทและให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียว เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จำเลยกับพวกบุกรุกขึ้นไปบนทับซึ่งเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายโดยมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย และได้ใช้อาวุธปืนยิงเพื่อขู่เข็ญให้ผู้เสียหายกับพวกเกิดความกลัวจนผู้เสียหายกับพวกลงจากทับหนีเข้าไปในป่า แสดงว่าจำเลยกับพวกบุกรุกขึ้นไปบนทับของผู้เสียหายก็เพื่อขับไล่ผู้เสียหายให้ออกไปจากทับ เมื่อผู้เสียหายยังไม่ยอมออกไปจึงยิงปืนขู่เข็ญให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวจนผู้เสียหายออกไปจากทับเข้าไปในป่า การกระทำของจำเลยต่อเนื่องกันโดยเจตนาประการเดียวคือเพื่อขับไล่ผู้เสียหายกับพวกให้ออกไปจากทับ จึงเป็นการกระทำเพียงกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันมีอาวุธปืนเข้าไปบุกรุกบ้าน (ขนำ) ของผู้เสียหายและใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงขู่เข็ญขับไล่ให้ผู้เสียหายออกไปจากบ้าน (ขนำ) ทำให้ผู้เสียหายเกิดความตกใจกลัว ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365,392, 83 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานบุกรุกเคหสถานโดยมีอาวุธปืน จำคุก 2 ปี ฐานทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว จำคุก15 วัน รวมจำคุก 2 ปี 15 วัน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365, 392ประกอบด้วยมาตรา 83 เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม มาตรา 365 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ให้จำคุก 2 ปี โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานบุกรุกเคหสถานโดยมีอาวุธปืน และฐานทำให้ผู้อื่นตกใจกลัวเป็น 2 กระทงความผิด ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยกระทำความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และให้ลงโทษฐานบุกรุกเคหสถานโดยมีอาวุธปืนซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปีคดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 คงมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมายเพียงว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามโจทก์ฟ้องหรือไม่ ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้แล้วว่าจำเลยกับพวกได้บุกรุกขึ้นไปบนทับซึ่งเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายโดยมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย และจำเลยกับนายเทวาได้ใช้อาวุธปืนยิงเพื่อขู่เข็ญให้ผู้เสียหายกับพวกเกิดความกลัวจนผู้เสียหายกับพวกกลัวลงจากทับหนีเข้าไปในป่า ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยกับพวกบุกรุกขึ้นไปบนทับของผู้เสียหายก็เพื่อขับไล่ผู้เสียหายให้ออกไปจากทับ เมื่อผู้เสียหายยังไม่ยอมออกไปจึงยิงปืนขู่เข็ญให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวจนผู้เสียหายออกไปจากทับเข้าไปในป่า การกระทำของจำเลยต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาเพียงประการเดียวคือเพื่อขับไล่ผู้เสียหายกับพวกให้ออกไปจากทับ จึงเป็นการกระทำเพียงกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน